tag:blogger.com,1999:blog-62301899322840197682024-03-08T21:40:06.969+07:00ข่าวสาร-พันธมิตร-สุรินทร์fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.comBlogger35125tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-82906956386096501532009-07-25T00:13:00.001+07:002009-07-25T00:13:14.552+07:00"ปชป." รุกอีสาน "หล่อเล็ก" นำทีมเดินสายพบ นศ.-นักการเมืองท้องถิ่น "เมืองช้าง"โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 กรกฎาคม 2552 14:48 น.<br>สุรินทร์- ปชป.รุกอีสาน "หล่อเล็ก" ที่ปรึกษานายกฯ ควง ส.ส.นำทีม<br>เดินสายเมืองช้างเปิดเวที"ประชาธิปัตย์สัญจร"<br>พบปะแลกเปลี่ยนเยาวชนนักศึกษา-นักการเมืองท้องถิ่น-ผู้นำ<br>อปท.มุ่งเน้นเสนอนโยบายพรรค ด้านการศึกษา<br>และการมีส่วนร่วมของเยาวชน-ปชช.กับการพัฒนาสังคมการเมืองไทย<p> วันนี้ (24 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00<br>น.ที่หอประชุมเล็กวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์<br>พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำโดย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน<br>ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ดร.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์<br>และคณะ ได้จัดโครงการ "ประชาธิปัตย์สัญจร" พบปะ-แลกเปลี่ยน-เรียนรู้<br>การศึกษากับการพัฒนาสังคมและการเมืองไทย ขึ้น โดยมีเยาวชนคนรุ่นใหม่<br>นักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์เข้าร่วมงานอย่างคึกคัก<p> จากนั้น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและคณะ<br>ได้เดินสายไปเปิดเวที "ประชาธิปัตย์สัญจร"<br>เพื่อพบปะแลกเปลี่ยนและนำเสนอนโยบายพรรคฯ ตามสถาบันอุดมศึกษาในเขต<br>อ.เมืองสุรินทร์ เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์<br>มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์<br>และปิดท้ายด้วยการพบปะแลกเปลี่ยนกับนักการเมืองและผู้นำองค์กรปกครองส่วน<br>ท้องถิ่น (อปท.) ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุรินทร์ ซึ่ง<br>มีนายกอบจ.พร้อมบรรดาสมาชิก อบจ.สุรินทร์ เข้าร่วม<p> นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า<br>นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์<br>เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกระดับได้เข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองให้มากขึ้นโดย<br>เฉพาะนักศึกษา คนรุ่นใหม่ เพื่อยกระดับการเมืองไทยให้เข้มแข็ง<br>สามารถตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองและหน่วยงานต่างๆ ได้<br>และทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง<p> นอก จากนั้น<br>พรรคประชาธิปัตย์ยังให้ความสำคัญกับการศึกษาในทุกระดับ ทั้งอาชีวศึกษา<br>อุดมศึกษาในสาขาอาชีพต่างๆ เพื่อยกฐานะคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น<br>นักศึกษาเมื่อเรียนจบออกมาแล้วให้มีงานทำเป็นที่พึ่งพาของครอบครัวได้<p> ดร. รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า<br>ขอให้เยาวชนนักศึกษา ให้ความสนใจการเมืองให้มากขึ้น<br>ติดตามข่าวสารการเมือง เหมือนกับการติดตามข่าวสารด้านการบันเทิง<br>หรือข่าวสารด้านการกีฬา เนื่องจากการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเรามาก<br>การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไป<br>เมื่อการเมืองเข้มแข็งนักการเมืองจะทำสิ่งใดต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน<br>เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น<p> "หาก ได้นักการเมืองไม่ดี<br>ก็จะแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวเองไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ<br>นักศึกษาต้องให้ความสนใจการเมืองและเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองให้มาก<br>ขึ้น" ดร.รัชดา กล่าวfgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-87675795366073274552009-07-25T00:02:00.000+07:002009-07-25T00:03:00.310+07:00แม่ทัพภาค 2 ควงผู้ว่าฯสุรินทร์ เยี่ยม "พังกำไล"- ให้กำลังใจทีมสัตวแพทย์สุรินทร์- "พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์" มทภ.2 พร้อมผู้ว่าฯ สุรินทร์<br>และคณะนายทหาร เข้าเยี่ยมให้กำลังใจช้าง "พังกำไล" และทีมสัตวแพทย์รักษา<br>ที่ รพ.ช้างสุรินทร์<br>หลังได้รับบาดเจ็บสาหัสขาขวาหักจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ต้องรักษามานานเกือบ<br>2 เดือนแล้ว ด้านสัตวแพทย์ เผย พังกำไลอาการทรงตัว<br>เป็นห่วงบาลแผลกดทับและร่างกายซูบผอมลงมาก<p> ช่วงบ่ายวันนี้ (23 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ที่โรงพยาบาลช้าง<br>ภายในสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติจังหวัดสุรินทร์ อ.เมือง<br>จ.สุรินทร์ พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) พร้อมด้วย<br>นายวิเชียร ชวลิต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พล.ต.ต่อศักดิ์<br>เหลืองตระกูล ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสุรินทร์ และ<br>รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี, เสนาธิการกองกำลังสุรนารี<br>ได้เดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจช้าง "พังกำไล" หรือ "พังแต๋น"<br>ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาขวาหัก<br>จากอุบัติเหตุทางรถยนต์เข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลช้างจังหวัดสุรินทร์<br>มานานเกือบ 2 เดือน<p> สัตวแพทย์หญิง ภัทร เชื้อพลายเวช<br>ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติจังหวัดสุรินทร์<br>เปิดเผยว่า ช้างพังกำไลขณะนี้อาการทรงตัว แม้บาดแผลส่วนใหญ่จะเริ่มดีขึ้น<br>แต่ก็ยังเป็นห่วงบริเวณบาดแผลช่วงกดทับด้านซ้ายของลำตัว<br>จากการนอนทับบริเวณบาดแผลนานๆ ทำให้เนื้อตาย<br>แม้จะมีเนื้องอกมาใหม่แล้วก็ยังน่าเป็นห่วง<br>เนื่องจากช้างนอนเป็นเวลานานไม่ได้ออกกำลังกาย ร่างกายจึงซูบผอมลงไปมาก<br>แต่ช้างยังกินอาหารได้ขับถ่ายปกติตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมดี<p> สัตวแพทย์ให้การรักษาด้วยการล้างบาดแผล ให้ยาแก้อักเสบ<br>ให้กินวิตามินซีบำรุงกระดูก วิตามินบีบำรุงร่างกาย<br>และขณะนี้กำลังรอเฝือกขาที่มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี<br>ได้มาทำการวัดขนาดขาขวาที่หักเพื่อทำเฝือกที่มีคุณภาพดี<br>มาใส่ให้พังกำไลใหม่<p> พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า<br>วันนี้ได้เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจแก่ทีมสัตวแพทย์<br>พร้อมผู้ช่วยสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ<br>ที่เดินทางมาช่วยรักษาช้างพังกำไล<br>ซึ่งขอให้กำลังใจในการตั้งใจทำงานรักษาช้างให้หายโดยเร็วและหากมีสิ่งใดที่<br>จะให้ทหารช่วยเหลือก็ให้ประสานงานกับทางกองกำลังสุรนารีและจังหวัดทหารบก<br>สุรินทร์ ซึ่งยินดีให้การสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์สนับสนุนการรักษาช้างพังกำไลอย่าง<br>เต็มที่<br> พร้อมกันนี้ แม่ทัพภาคที่ 2 ได้มอบเงินจำนวน 5,500 บาท<br>แก่เจ้าหน้าที่ทหารจากกองกำลังสุรนารีและจังหวัดทหารบกสุรินทร์<br>ที่ได้มาสนับสนุนช่วยงานการรักษาช้างพังกำไลมาเป็นระยะเวลานาน จะครบ 2<br>เดือนในวันที่ 29 ก.ค.นี้<br>พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ทหารให้ทำงานช่วยรักษาช้างต่อไป<p> ทางด้าน นายวิเชียร ชวลิต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า<br>สำหรับบ่อน้ำเค็มที่จะใช้รักษาช้างพังกำไลแบบวารีบำบัด นั้น<br>ขณะนี้ได้มีการอนุมัติโครงการสร้างต่อเติมอาคารโรงพยาบาลช้างแล้ว<br>ซึ่งต่อไปทีมงานก่อสร้างจะมาทำการต่อเติมอาคารโรงพยาบาลช้างและต่อเติมไปถึง<br>บ่อน้ำวารีบำบัด และทำการติดตั้งเครนในการยกช้าง<br>ซึ่งจะลงมือก่อสร้างได้ในเร็วๆ นี้<p> สัตวแพทย์หญิง ภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า<br>ต่อไปจะต้องพิจารณาว่าจะใช้น้ำที่มีความเค็มเท่าไรในการรักษาแบบวารีบำบัด<br>ซึ่งต้องมองไปถึงการนำน้ำเค็มที่ใช้แล้วไปทิ้งด้วยเพื่อไม่ให้เกิดมลภาวะใน<br>พื้นที่ เพราะหากใช้ความเค็มของน้ำมากในการรักษา<br>การนำน้ำไปทิ้งก็ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวด<br>ล้อม ซึ่งจำเป็นต้องวิเคราะห์กันหลายด้านfgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-18755061800275610542009-07-20T16:49:00.001+07:002009-07-20T16:49:45.113+07:00ชมรมฮาร์เลย์-จยย.โบราณ กว่า 500 คน ยกพลเยี่ยม-ช่วยเหลือ "พังกำไล"สุรินทร์ - ชมรมฮาร์เลย์ และ จยย.โบราณ จ.สุรินทร์, บุรีรัมย์ และ<br>ศรีสะเกษ ยกพลเยี่ยมเป็นกำลังใจให้ช้าง "พังกำไล" และทีมสัตวแพทย์<br>พร้อมร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือ เผยอาการ "พังกำไล" ยังทรงตัว<br>และพบเนื้อตายบริเวณแผลกดทับน้อยลง<p> วันนี้ (19 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงพยาบาลช้าง<br>ในสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติจังหวัดสุรินทร์ อ.เมือง<br>จ.สุรินทร์ ชมรมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์และจักรยานยนต์โบราณ กว่า<br>500 คน ได้ร่วมกันเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ มาให้กำลังใจช้าง "พังกำไล"<br>หรือ "พังแต๋น" รวมทั้งทีมงานสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์<br>ในการดูแลรักษาช้างพังกำไล ที่ได้รับบาดเจ็บขาขวาหักจากอุบัติเหตุรถยนต์<br>เข้าพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลช้างแห่งนี้มานานกว่า 1 เดือนแล้ว<p> พร้อมทั้งได้บริจาคเงินจำนวนกว่า 40,000 บาท มอบให้แก่<br>สัตวแพทย์หญิง ภัทร เชื้อพลายเวช<br>ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติจังหวัดสุรินทร์<br>เพื่อจัดซื้ออาหารให้ช้าง รวมทั้งอาหาร น้ำดื่ม<br>สำหรับทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ<br>ที่เดินทางมาช่วยเหลือในการรักษาช้างพังกำไล<p> สัตวแพทย์หญิง ภัทร เชื้อพลายเวช<br>ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติจังหวัดสุรินทร์<br>เปิดเผยถึงอาการล่าสุดของช้างพังกำไล ว่า<br>พังกำไลยังตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมที่ดี กินอาหารได้ ขับถ่ายได้<br>และคุ้นเคยกับทีมงานสัตวแพทย์เป็นอย่างดี<br>ให้ความร่วมมือในการรักษาบาดแผลได้ดี<p> ในวันนี้ สัตวแพทย์ได้เริ่มลงมือในการตัดล้างบาดแผล<br>และใช้กรรไกตัดเนื้อที่ตายบริเวณบาดแผลช่วงนอนกดทับด้านซ้ายของตัวช้าง<br>ซึ่งพบว่าบาดแผลนั้นไม่ขยายพื้นที่ออกไป<br>และเริ่มมีการตอบสนองในการรักษาที่ดีขึ้น บาดแผลเริ่มมีเนื้องอกมาใหม่<p> ส่วนเนื้อตาย สัตวแพทย์ได้เริ่มตัดทิ้งเป็นส่วนใหญ่<br>และทำการล้างบาดแผลทุกวัน ให้ยาแก้อักเสบ และยาฆ่าเชื้อ<br>ให้กินวิตามินซีชนิดเข้มข้น ในการเสริมสร้างเนื้อใหม่<br>และให้กินวิตามินบีในการบำรุงร่างกายให้มีพละกำลัง แข็งแรง<p> "สำหรับประชาชนทั่วไป<br>รวมทั้งนักท่องเที่ยวก็ยังเดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจช้างพังกำไลอย่างต่อ<br>เนื่องทุกวันเช่นเคย" สัตวแพทย์หญิง ภัทร กล่าว<p><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000081439">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000081439</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-10699674798118394072009-07-17T17:17:00.000+07:002009-07-18T00:32:05.736+07:00มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทร์-ยกทีมลงสุรินทร์ทำเฝือกขาช้าง "พังกำไล"โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กรกฎาคม 2552 19:32 น.<br>สุรินทร์ - มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี<br>ยกคณะลงสุรินทร์ ทำเฝือกขาให้ช้างพังกำไล<br>ที่โรงพยาบาลช้างในสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ จ.สุรินทร์<br>ที่ได้รับบาดเจ็บขาขวาหักจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ต้องรักษามานานกว่า 1<br>เดือนแล้ว<p> วันนี้ (16 ก.ค. )<br>มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นำโดย บุญอยู่ ทิพยะ<br>ประธานฝ่ายวิจัยและค้นคว้าขาเทียม<br>มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี<br>ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ทำขาเทียม<br>พร้อมด้วยอุปกรณ์ในการทำขาเทียมเดินทางมาทำการออกแบบ<br>และจัดทำหรือหล่อเฝือกชนิดพิเศษ เพื่อใส่ขาขวาให้กับช้าง "พังกำไล" หรือ<br>"พังแต๋น" ที่หักจากการได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์<br>และกระดูกต่อเชื่อมกันยังไม่ดี<p> โดยเฝือกที่จัดทำขึ้นใหม่นี้<br>เป็นเฝือกทำจากส่วนผสมของปูนขาวและวัสดุที่คงทน ขนาดความยาวเท่ากับขาช้าง<br>มีลักษณะพิเศษที่มีความยืดหยุ่นได้ดี รูปทรงพอเหมาะกับขาช้าง<br>และสะดวกในการถอดออกและนำสวมใส่เข้าไปใหม่<br>ซึ่งจะทำให้สัตวแพทย์มีความสะดวกในการรักษา ล้างบาดแผล<br>และยังช่วยให้กระดูกส่วนที่หักเชื่อมติดกันดียิ่งขึ้น<p> โดยขณะนี้เป็นช่วงของการออกแบบ วัดขนาด สัดส่วนของขาช้างพังกำไล<br>และวางรูปทรงของเฝือกที่จะหล่อขึ้น<br>จากนั้นจะทำการหล่อเฝือกขึ้นมาซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน<br>ในหล่อทำให้เฝือกแห้งสนิทแล้วจะนำสวมใส่เข้าขาขวาของพังกำไลที่หักได้<br>ซึ่งจะทำให้การเชื่อมต่อของกระดูกที่หักดีขึ้น<p> สำหรับอาการทั่วไปของช้าง "พังกำไล" หรือ "พังแต๋น" ล่าสุด<br>ช้างพังกำไลสามารถกินอาหารได้ดี ขับถ่ายได้ดี ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้ดี<br>สัตวแพทย์ยังต้องทำการรักษาบาดแผลที่เกิดจากการได้รับอุบัติเหตุ<br>ซึ่งด้านซ้ายของลำตัวช้างในวันนี้บาดแผลช่วงกดทับยังมีเนื้อตายแต่บาดแผลไม่<br>ขยายตัวออกไป<p> ส่วนบาดแผลส่วนอื่น ส่วนใหญ่เริ่มแห้ง มีเนื้องอกออกมาใหม่<br>แต่บาดแผลที่เกิดจากการใช้สายเปลยกช่วงขาหนีบด้านใต้ท้องด้านหน้าและด้านขา<br>หลังบาดแผลเริ่มมีขึ้นอีก<br>สัตวแพทย์กำลังหาวิธีแก้ไขโดยหาอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นเสื้อนุ่มขนาดใหญ่มา<br>รองรับตัวช้าง เพื่อไม่ให้เกิดบาดแผล<p> นอกจากนั้น ยังพบว่า ประชาชน หลากหลายอาชีพ โดยเฉพาะข้าราชการ<br>พนักงานรัฐวิสาหกิจ บริษัทห้างร้านต่างๆ<br>เมื่อเดินทางผ่านโรงพยาบาลช้างสุรินทร์<br>มักจะแวะมาเยี่ยมให้กำลังใจทีมสัตวแพทย์ รวมทั้งให้กำลังใจช้างพังแต๋น<br>ควาญช้าง และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ<br>ที่มาช่วยในการรักษาช้างพังกำไลอย่างต่อเนื่อง<br>พร้อมได้พากันถ่ายรูปเป็นที่ระลึก<br>ร่วมกับช้างพังกำไลไปฝากญาติพี่น้องหรือให้เพื่อนร่วมงานได้ดูอีกด้วย<p><br><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000080594">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000080594</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-44947553475522698712009-07-15T16:50:00.001+07:002009-07-15T16:50:58.090+07:00ปภ.เขต 5 เตือน 4 จว.อีสานล่างระวังน้ำท่วมฉับพลัน-โคลนถล่มศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ปภ.เขต 5 นครราชสีมา แจ้งเตือน ปชช.4 จว.อีสานล่าง<br>ระวังฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก เน้น<br>พท.เสี่ยงภัยดินโคลนถล่ม 2 จังหวัดให้ระวังเป็นพิเศษ<br>และติดตามข่าวสารพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด เผยเตรียม จนท.-อุปกรณ์<br>เครื่องมือไว้พร้อมอพยพราษฎรได้ทันทีหากเกิดภัยพิบัติขึ้น<p> วันนี้ (14 ก.ค.) นายวัลลภ เทพภักดี<br>ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 5 นครราชสีมา (ปภ.เขต 5<br>นม.) เปิดเผยว่า ทางศูนย์ ปภ.เขต 5<br>ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนให้ระวังอันตรายจากภาวะฝนตกหนัก<br>น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ในวันนี้และวันพรุ่งนี้ (15 ก.ค.)<br>เนื่องจากได้รับรายงานสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ว่า<br>ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน<br>ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย<br>และอ่าวไทย ยังคงมีกำลังแรง<br>ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น<br>และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง<p> สำหรับพื้นที่ความรับผิดชอบของศูนย์ ปภ.เขต 5 นครราชสีมา 4<br>จังหวัดอีสานตอนล่าง (นครราชสีมา, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์) นั้น<br>มีพื้นที่เสี่ยงภัยดินโคลนถล่ม อยู่ใน 2 จังหวัด คือ นครราชสีมา และ<br>ชัยภูมิ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว<br>ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ในระยะ 1-2 วันนี้<p> "ที่สำคัญ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย<br>ติดตามข้อมูลข่าวสารการพยากรณ์อากาศและสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด<br>หากได้รับคำเตือนหรือคำแนะนำจากทางราชการขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด<br>เพื่อการป้องกันภัยที่อาจจะเกิดขึ้น" นายวัลลภ กล่าว<p> นายวัลลภ กล่าวอีกว่า ศูนย์ ปภ.เขต 5 นครราชสีมา<br>ได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ เช่น เรือท้องแบน<br>เครื่องสูบน้ำ รถยนต์ขนย้ายสิ่งของและอพยพประชาชน<br>รวมทั้งเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ไว้พร้อมแล้ว<br>เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที<br>หากประชาชนในพื้นที่ใดได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัย<br>สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br>เขต 5 นครราชสีมา และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทุกจังหวัด<br>หรือทางโทรศัพท์สายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง<p> "อย่าง ไรก็ตาม จากรายงานล่าสุดจนถึงขณะนี้<br>มีรายงานฝนตกในหลายพื้นที่แต่ยังไม่เกิดปัญหาน้ำท่วมหรือน้ำป่าไหลหลากแต่<br>อย่างใด หากยังมีฝนตกลงมาต่อเนื่อง 1-2 วันนี้<br>อาจทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันได้" นายวัลลภ กล่าวในที่สุด<p><br><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000079451">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000079451</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-23416573094659724992009-07-15T16:42:00.000+07:002009-07-15T16:43:03.143+07:00รพ.สุรินทร์ร่วมสถานศึกษาคุมเข้มสกัด "หวัดใหญ่ 2009"สุรินทร์ - หลายหน่วยงานเมืองช้างตื่นตัวคุมเข้มป้องกันแพร่ระบาดเชื้อไข้หวัดใหญ่<br>2009 เผย รพ.สุรินทร์ แจกหน้ากาก ปชช.-ผู้ป่วย<br>ที่มาใช้บริการทุกคนพร้อมซักประวัติยิบ<br>หากพบต้องสงสัยคัดแยกเข้าห้องกักเชื้อทันที ด้านโรงเรียนอนุบาลสุรินทร์<br>ร่วม รพ.สุรินทร์ คัดกรองเข้มนักเรียน ยืนยันยังไม่พบ นร.ป่วยหวัด 2009<p> วันนี้ (14 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้หลายหน่วยงานใน<br>จ.สุรินทร์ ทั้งโรงพยาบาลและสถานศึกษาต่างตื่นตัวในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค<br>ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อย่างเข้มงวด<br>โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลสุรินทร์<br>เจ้าหน้าที่พยาบาลได้แจกจ่ายหน้ากากอนามัยปิดปากจมูกให้กับประชาชน<br>ผู้ป่วย และญาติผู้ป่วยที่มาใช้บริการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลทุกคน<br>พร้อมซักประวัติผู้ป่วยที่เข้ามาตรวจรักษาอย่างละเอียด หากพบมีไข้สูง<br>ต้องสงสัยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009<br>จะคัดแยกผู้ป่วยไปเจ้าห้องกักเชื้อและทำความสะอาดบริเวณที่ผู้ป่วยเดินผ่าน<br>หรือเข้าใช้งานทั้งหมดทันที<p> ขณะที่โรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์<br>ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่<br>1 (ป.1) มีจำนวนนักเรียนรวมกว่า 3,000 คน<br>ทางโรงเรียนโดยคณะครูร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโรงพยาบาลสุรินทร์<br>ได้ทำการคัดกรองนักเรียนด้วยการสอบถาม<br>และวัดอุณหภูมิร่างกายเด็กนักเรียนอย่างเข้มงวดเช่นกัน<br>หากพบมีอาการไข้สูงจะแจ้งให้ผู้ปกครองมารับตัวกลับไปพักผ่อนที่บ้าน<br>หรือนำส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจรักษาให้หายจากอาการป่วยเป็นไข้ก่อนจึงค่อยกลับ<br>มาเรียนตามปกติ ทั้งเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังคนอื่นๆ<p> นายสุชีพ พฤฒิพันธ์พิสุทธิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสุรินทร์<br>กล่าวว่า ขอฝากถึงบรรดาผู้ปกครองนักเรียน ว่า<br>หากพบบุตรหลานมีอาการป่วยเป็นไข้สูง อย่าได้ส่งลูกหลานมาโรงเรียน<br>ควรนำไปพบแพทย์ให้ตรวจรักษา<br>หรือให้พักผ่อนอยู่ที่บ้านรักษาให้หายขาดก่อนแล้วค่อนมาเรียนตามปกติ<br>ไม่ใช่นั้นหากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009<br>อาจจะนำเชื้อมาแพร่กระจายสู่กลุ่มเพื่อนได้<p> "แต่ปัญหาขณะนี้ คือ แม้เด็กนักเรียนไม่สบายป่วยเป็นไข้<br>ผู้ปกครองก็ยังส่งลูกหลานมาโรงเรียนโดยอ้างว่าไม่มีใครดูแลอยู่ที่บ้าน<br>ปัญหาจึงลุกลามต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม<br>จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเด็กนักเรียนโรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ป่วยเป็นโรคไข้หวัด<br>ใหญ่สายพันธุ์ใหม่เป็นจำนวนมากตามข่าวลือแต่อย่างใด<br>ขอให้ผู้ปกครองสบายใจได้ ทางโรงเรียนจะไม่ปิดบังเรื่องนี้อย่างแน่นอน"<br>นายสุชีพ กล่าว<p><br><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000079513">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000079513</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-36428630301806305132009-07-09T12:43:00.001+07:002009-07-09T12:43:32.684+07:00ชาวสุรินทร์-นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจทำบุญตักบาตรบนหลังช้างวันนี้ (7 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า<br>ที่บริเวณลานหน้าอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง<br>เขตเทศบาลเมืองสุรินทร์<br>พุทธศาสนิกชนชาวสุรินทร์ทุกหมู่เหล่าและนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ร่วมกัน<br>ประกอบพิธีทางพุทธศาสนา รับศีล ถวายสังฆทาน และทำบุญตักบาตรแด่พระสงฆ์<br>สามเณร 50 รูป เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวไทย<p> โดยทางจังหวัดสุรินทร์ได้จัดพิธีทำบุญตักบาตรบนหลังช้างขึ้น<br>มีนายวิเชียร ชวลิต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส<br>และ พระธรรมโมลี เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ (มหานิกาย)<br>เป็นประธานฝ่ายพระสงฆ์<p> ทั้งนี้ การตักบาตรบนหลังช้างดังกล่าว<br>พระสงฆ์และสามเณรได้ขึ้นนั่งบนหลังช้าง เชือกละ 2 รูป<br>เพื่อให้ญาติโยมทั้งหญิงชาย เด็ก<br>ผู้ใหญ่และนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ทำบุญใส่บาตร ข้าวสาร<br>อาหารแห้งกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะญาติโยมที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด<br>รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศต่างตื่นตาตื่นใจกับการได้ทำบุญ<br>ตักบาตรแด่พระสงฆ์-สามเณร บนหลังช้าง<br>และได้พากันบริจาคเงินทำบุญกับช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ที่อยู่คู่กับประเทศไทย<br>มาช้านานด้วย<p> นอก จากนั้นยังมีกิจกรรมนั่งช้างชมเมือง<br>เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้แก่ควาญช้าง<br>และเป็นค่าอาหารช้าง ซึ่งเป็นการทำบุญช่วยเหลือช้างอีกทางหนึ่งด้วย<p><p><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000076666">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000076666</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-38006045667687545042009-07-04T17:35:00.000+07:002009-07-04T17:36:00.470+07:00"พังกำไล"ชื่นมื่นอาการดีขึ้นตามลำดับ - คาดเริ่มรักษาด้วยวารีบำบัดกลางเดือนนี้สุรินทร์ - "ช้างพังกำไล" อาการดีขึ้นตามลำดับ<br>ขาขวาที่หักกระดูกเชื่อมต่อกันมากขึ้น<br>บาดแผลเริ่มมีหนังและเนื้อใหม่งอกขึ้นมา<br>เผยช้างมีกำลังใจและอารมณ์ดีมากหยอกล้อเจ้าหน้าที่-ทีมสัตวแพทย์อยู่ตลอด<br>เวลา ส่วนสระน้ำก่อสร้างคืบ 60% คาดกลางเดือน<br>ก.ค.นี้เริ่มทดสอบการรักษาด้วยวารีบำบัดได้<p> วันนี้ (4 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า<br>ช้างพังกำไลที่เข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บจาก อุบัติเหตุทางรถยนต์<br>ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลช้าง<br>สถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติจังหวัดสุรินทร์ นั้น<br>ล่าสุดขณะนี้พังกำไลมีอาการดีขึ้นตามลำดับ<p> สัตวแพทย์หญิงภัทร เชื้อพลายเวช<br>ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ จังหวัดสุรินทร์<br>เปิดเผยว่า อาการของช้างพังกำไล ดีขึ้นตามลำดับ<br>บาดแผลตามตัวถือว่าดีขึ้นมาก เริ่มมีหนังและเนื้อใหม่งอกขึ้นมา<br>ยกเว้นบาดแผลที่สะโพกซ้าย ซึ่งเป็นบาดแผลจากการนอนกดทับ<br>พบมีเนื้อตายและมองเห็นกระดูกสะโพก<br>ซึ่งสัตวแพทย์ได้ตัดเอาเนื้อตายออกและทำการล้างบาดแผลทุกวันพร้อมให้<br>ออกซิเจนบริเวณบาดแผล<br>นอกจากนั้นยังได้ใช้น้ำผึ้งฉีดเข้าเนื้อบริเวณบาดแผลเพื่อให้สมานแผลได้เร็ว<br>ขึ้น ให้กินยาแก้ปวดและแก้อักเสบ<p> รวมทั้งต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาบาดแผลกดทับ<br>ช่วงบริเวณที่มีสายพานรั้งสำหรับยกตัวช้างขึ้น<br>เพื่อทำความสะอาดในแต่ละวัน เพื่อไม่ให้ถูกกดทับจากแรงดึงของสายพานมากนัก<br>สำหรับขาขวาที่หัก<br>จากการเอ็กซเรย์ครั้งสุดท้ายพบว่ากระดูกเริ่มงอกต่อติดกันมากขึ้น<br>แต่ยังต้องทำการรักษาบาดแผลบริเวณขาขวาเมื่อถอดเฝือกออก<p> สัตวแพทย์หญิงภัทร กล่าวต่อว่า<br>สำหรับสภาพจิตใจและอารมณ์ของช้างพังกำไล ขณะนี้ถือว่า<br>ช้างมีกำลังใจที่ดีมาก สามารถหยอกล้อเล่นกับทีมสัตวแพทย์<br>และเจ้าหน้าที่ทหารที่มาให้การสนับสนุนช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา<br>และจะแสดงอาการเจ็บแผลขณะทำการล้างบาดแผลด้วยการสะบัดตัวแรงๆ<br>ทำให้ทีมสัตวแพทย์ต้องส่งเสียงขู่บอกไม่ให้แสดงอาการโมโหมากเกินไป<br>ซึ่งพังกำไลก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี<p> ส่วนอาหารขณะนี้ต้องเปลี่ยนให้มีความหลากหลายมากขึ้น นอกจากหญ้า<br>ต้นกล้วย อ้อย แล้วสัตวแพทย์ยังได้นำ ถั่วฝักยาว แตงกวา<br>มาให้พังกำไลกินสลับสับเปลี่ยนกันไปเพื่อไม่ให้ช้างเบื่ออาหาร<p> "สำหรับการสร้างสระน้ำเพื่อใช้รักษาพังกำไลด้วยวิธีวารีบำบัด นั้น<br>ขณะนี้การก่อสร้างมีความคืบหน้าไปกว่า 60% แล้วคาดว่าประมาณกลางเดือน<br>ก.ค. นี้ จะสามารถทดสอบการใช้สระน้ำรักษาด้วยวิธีวารีบำบัดได้"<br>สัตวแพทย์หญิงภัทร กล่าวในตอนท้าย<p><p><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000075833">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000075833</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-61139287059336809642009-06-29T15:41:00.001+07:002009-06-29T15:41:44.101+07:00สุดหวาดเสียว! เด็กสุรินทร์ตกหลังคาปั๊ม - เหล็กรั้วเสียบซี่โครงทะลุหลังสุรินทร์- เกิดเหตุสุดหวาดเสียว! เด็กเมืองช้าง 14 ปี<br>ช่วยแม่ทำความสะอาดปั๊มน้ำมัน<br>ปีนขึ้นไปดึงสิ่งของบนหลังคากระเบื้องแตกร่วงถูกเหล็กแหลมบนกำแพงรั้วเสียบ<br>ซี่โครงซ้ายทะลุหลัง เจ้าหน้าที่ต้องใช้เครื่องตัดเหล็กนานกว่า 1 ชั่วโมง<br>ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาล ให้แพทย์ช่วยชีวิตด่วน<p> วันนี้ (28 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00<br>น.ที่สถานีบริการน้ำมัน หรือปั๊มน้ำมันศิริเจริญพานิชย์ อ.เมือง<br>จ.สุรินทร์ ได้เกิดเหตุ ด.ช.สุรศักดิ์ รักษา อายุ 14 ปี<br>ตกจากหลังคาถูกเหล็กแหลมบนกำแพงรั้วภายในปั๊มน้ำมันเสียบเข้าบริเวณซี่โครง<br>ด้านซ้ายทะหลัง ติดอยู่บนกำแพงรั้วที่มีความสูงกว่า 2 เมตร<p> เจ้าหน้าที่กู้ภัยจังหวัดสุรินทร์<br>และเจ้าหน้าที่ชุดป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองสุรินทร์<br>ต้องเร่งใช้เครื่องตัดเหล็กรั้ว เพื่อช่วยเหลือนำตัว ด.ช.สุรศักดิ์ รักษา<br>ลงมาอย่างระมัดระวัง ท่ามกลาง ด.ช.สุรศักดิ์<br>ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง<br>จึงสามารถตัดเหล็กที่เสียบอยู่ได้สำเร็จ<br>ก่อนนำตัวเด็กส่งโรงพยาบาลให้แพทย์ผ่าตัดนำเหล็กที่เสียบอยู่ออกโดยด่วน<p> ทั้งนี้ จากการสอบถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ<br>ด.ช.สุรศักดิ์ รักษา อายุ 14 ปี เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1<br>โรงเรียนวัดพรมสุรินทร์ ได้ใช้วันหยุดมาช่วย นางบุญศรี รักษา ผู้เป็นแม่<br>ทำงานความสะอาดภายในปั๊มน้ำมันดังกล่าว โดยในขณะที่ทำความสะอาดนั้น<br>ด.ช.สุรศักดิ์ ได้ปีนขึ้นไปเก็บเศษสิ่งของที่เกะกะและทำความสะอาดบนหลังคา<br>ซึ่งเป็นกระเบื้องสภาพเก่าอยู่ติดกับกำแพงรั้วที่ติดตั้งเหล็กแหลม<br>แต่หลังคากระเบื้องที่ ด.ช.สุรศักดิ์เหยียบอยู่เกิดแตก<br>ทำให้ตกลงมาถูกเหล็กแหลมบนกำแพงรั้วเสียบเข้าที่ซี่โครงด้านซ้ายทะลุหลัง<br>ผู้พบเห็นจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนดังกล่าว<p><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073094">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073094</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-83623637188826383492009-06-29T15:37:00.001+07:002009-06-29T15:37:39.379+07:00"ช่องสะงำ" วังเวง เขมรเร่งตุนอาหารน้ำมัน - บริษัทไทยขนเครื่องจักรกลับ/บ่อนหยุดก่อสร้างสุรินทร์/ศรีสะเกษ - ชายแดน "เขาวิหาร" ยังคงตึงเครียดทางทหารต่อเนื่อง<br>ทำด่านช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ ศรีสะเกษ ตกอยู่ในสภาพวังเวง<br>พบพ่อค้ากัมพูชาเร่งซื้อสินค้ากักตุนจากฝั่งไทย ทั้งอาหาร<br>เครื่องอุปโภคบริโภคและน้ำมันเชื้อเพลิงขนกลับประเทศอย่างรีบร้อน<br>ส่วนผู้รับเหมาก่อสร้างถนนชาวไทยนำเครื่องจักรกลกลับประเทศ<br>ขณะบ่อนกาสิโนชายแดนเพิ่งเริ่มก่อสร้างต้องหยุดโดยสิ้นเชิงทหารเขมรเข้ายึด<br>เป็นที่ตั้งจุดตรวจการณ์ประจันหน้าทหารไทย<p> วันที่ (29 มิ.ย.)<br>ผู้สื่อข่าวรายงานจากสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาจากการ<br>ตรึงกำลังระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์<br>จ.ศรีสะเกษ อยู่ในขณะนี้ได้ส่งผลให้ที่บริเวณด่านผ่านแดนถาวรช่องสะงำ<br>ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นด่านผ่านแดนลงไปสู่ อ.อัลลองเวง<br>จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ตกอยู่ในสภาพเงียบเหงา<br>การเดินทางผ่านแดนเข้า-ออกของชาวไทยและกัมพูชามีจำนวนน้อยมาก<p> ขณะที่เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชามีการตรวจตราชาวไทย<br>ที่เดินทางเข้าไปยังตลาดชายแดนตรงข้ามด่านผ่านแดนถาวรช่องสะงำ<br>เข้มงวดมากขึ้น เพราะเกรงว่าจะมีชาวไทยลักลอบเข้าไปสืบหาข่าว<br>ความเคลื่อนไหวทางการทหารในฝั่งประเทศกัมพูชา<p> นอกจากนั้นเป็นที่สังเกตว่า<br>พ่อค้าแม่ค้าและประชาชนชาวกัมพูชาได้ตื่นตัวพากันซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค<br>และน้ำมันเชื้อเพลิงไปกักตุนกันมากกว่าปกติ เช่นเมื่อวาน (28 มิ.ย.)<br>มาซึ่งเป็นวัดเปิดตลาดนัดชายแดนไทย-กัมพูชา ช่องสะงำ<br>พบว่ามีพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนชาวกัมพูชาจาก อ.อัลลองเวง กว่า 200<br>คนทะลักเข้ามาซื้อสินค้า อาหารสด<br>เครื่องอุปโภคบริโภคเป็นจำนวนมากและขนกลับเข้าไปฝั่งประเทศกัมพูชาอย่างรีบ<br>เร่ง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง<br>แล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาพเงียบเหงาเช่นเดิม<p> โดยน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น ได้มีรถบรรทุกน้ำมันดีเซล และเบนซิน<br>ขนาดความจุ 40,000 ลิตร เดินทางเข้าไปส่งน้ำมันให้แก่พ่อค้า<br>ชาวกัมพูชาที่ฝั่งกัมพูชาบริเวณชายแดนติดกับฝั่งไทย<br>และมีรถบรรทุกน้ำมันขนาดเล็กจากพื้นที่ต่างๆ ในเขต จ.เสียมราฐ<br>ได้มารับซื้อน้ำมันที่นำเข้าจากประเทศไทยดังกล่าวเป็นจำนวนมาก<br>ทั้งนี้เพื่อนำไปจำหน่ายให้กับประชาชนชาวกัมพูชาทั่วไปและกักตุนสำรองไว้หาก<br>เกิดเหตุการณ์ปะทะกันขึ้นระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาจากความขัดแย้งกรณี<br>ปราสาทพระวิหาร แม้ด่านผ่านแดนถาวรช่องสะงำจะอยู่ห่างจากเขาพระวิหาร กว่า<br>10 กิโลเมตรก็ตาม<p> ชาวกัมพูชารายหนึ่งบอกกับผู้สื่อข่าวว่า<br>ช่วงนี้ต้องเร่งซื้อน้ำมันไปกักตุนไว้<br>เพราะจำเป็นต้องใช้น้ำมันเติมรถยนต์สำหรับการเดินทางและบรรทุกสินค้าไปขาย<br>ตามหมู่บ้านต่างๆ ทุกวัน<br>ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นหรือจะมีการปะทะกันขึ้น<br>เมื่อใด แต่สำหรับประชาชนกัมพูชาแล้วไม่อยากให้มีการสู้รบกัน<br>เพราะจะทำให้ประชาชนพ่อค้าโดยเฉพาะผู้มีถิ่นอาศัยอยู่ตามแนวชายแดนเดือดร้อน<br>และลำบากมาก เนื่องจากต้องพึ่งพาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคทุกอย่างจากฝั่งไทย<p> ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า<br>ในส่วนของบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างถนนชาวไทยที่เดินทางเข้ารับเหมาก่อสร้าง<br>ถนน ใน จ.เสียมราฐ กัมพูชา ก็ได้เริ่มเคลื่อนย้ายเครื่องจักรกล<br>อุปกรณ์เครื่องมือการก่อสร้าง<br>เดินทางผ่านด่านผ่านแดนถาวรช่องสะงำกลับเข้ามาในฝั่งไทยเช่นกัน และบอกว่า<br>อยู่ในพื้นที่ฝั่งประเทศกัมพูชาไม่ได้เพราะถูกทหารกัมพูชารบกวนกดดันตลอด<br>เวลา ต้องรีบขนเครื่องจักร และ<br>รถแบ็คโฮกลับเข้ามาในฝั่งไทยเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน<p> สำหรับถนนลาดยางหมายเลข 67 ที่เชื่อมบริเวณด่านผ่านแดนช่องสะงำ<br>ฝั่งไทยไปยังฝั่งกัมพูชา ผ่าน อ.อัลลองเวง เข้าไปยัง จ.เสียมราฐ<br>นั้นในช่วงเริ่มต้นของถนนที่อยู่ในฝั่งไทยยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้<br>เนื่องจากพบมีบ่อนกาสิโนของกัมพูชาเข้าก่อสร้างอยู่บริเวณริมถนนดังกล่าวบน<br>พื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดน และกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2<br>ได้ทำหนังสือประท้วงรัฐบาลกัมพูชาผ่านกระทรวงการต่างประเทศทำให้บ่อนกาสิโน<br>ต้องหยุดก่อสร้าง<br>และต้องปิดตายถนนลาดยางดังกล่าวแล้วหันมาใช้ถนนลูกรังจากฝั่งไทยลงไปยัง<br>อ.อัลลองเวง จ.เสียมราฐ แทน<p> ประกอบกับเหตุการณ์ตึงเครียดตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา<br>ในขณะนี้ส่งผลให้กาสิโนชายแดนช่องสะงำ<br>ของกัมพูชาดังกล่าวต้องหยุดก่อสร้างไปโดยสิ้นเชิง<br>ซึ่งฝ่ายทหารกัมพูชาได้ส่งกำลังทหารมาตั้งจุดตรวจการณ์หน้า ที่บริเวณ<br>สถานที่ก่อสร้างบ่อนกาสิโนดังกล่าว<br>ห่างจากฐานทหารไทยที่ฐานปฏิบัติการช่องดาระกา ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ เพียง<br>70 เมตร<p> ส่วนสถานการณ์ตึงกำลังทหารระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา<br>บริเวณชายแดนเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ล่าสุด วันนี้ (29<br>มิ.ย.) ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง<br>โดยทางทหารกัมพูชายังคงตรึงกำลังทหารและอาวุธหนักบริเวณด้านใต้ปราสาทพระ<br>วิหาร เป็นจำนวนมาก ขณะที่พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน<br>ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี (ผบ.กกล.สุรนารี)<br>ได้เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปยังโรงเรียนบ้านแซร์ไปร์ ต.ไพรพัฒนา<br>อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจทหาร<br>และตรวจสอบความพร้อมในการวางแผนปฏิบัติการรักษาอธิปไตยของไทยให้มีความพร้อม<br>ในทุกด้าน<p><br><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073312">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000073312</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-91998982245493169782009-06-28T16:26:00.001+07:002009-06-28T16:26:28.768+07:00"จา พนม" เยี่ยมอาการ "พังกำไล" - สัตวแพทย์เผยดีขึ้นมาก/ถอดเฝือกขาขวาแล้วสุรินทร์- "จา พนม ยีรัมย์" พร้อมพ่อ และคณะ เยี่ยมอาการป่วยช้างพังกำไล<br>ที่ รพ.ช้างสุรินทร์ และให้กำลังใจทีมสัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่<br>พร้อมอาบน้ำ-ป้อนน้ำให้ช้างด้วยตัวเอง ขณะพังกำไลอาการดีขึ้นมาก<br>คณะสัตวแพทย์ถอดเฝือกที่เท้าขวาออกแล้ว หลังพบกระดูกเริ่มต่อติดกัน<p> ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงพยาบาลช้าง<br>ภายในสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งช้างจังหวัดสุรินทร์ นายจา พนม<br>ยีรัมย์ พระเอกภาพยนตร์ชื่อดังจากเรื่อง "ต้มยำกุ้ง" "องค์บาก"<br>พร้อมเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อเสียงโด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ<br>ได้เดินทางมายังโรงพยาบาลช้างสุรินทร์ พร้อมด้วย นายทองดี ยีรัมย์ บิดา<br>และทีมงาน เพื่อเยี่ยมดูอาการช้างพังกำไล หรือ พังแต๋น<br>พร้อมให้กำลังใจทีมสัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์และทหารจากจังหวัดทหารบก<br>สุรินทร์และกองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์<br>ที่ได้ช่วยกันดูแลรักษาช้างพังกำไลเป็นอย่างดีมาโดยตลอด<p> พร้อมกันนี้ จา พนม ยีรัมย์ ได้ซื้อกล้วย ผลไม้มาให้พังกำไล<br>และอาศัยความเชี่ยวชาญที่เป็นคนเลี้ยงช้างอาสาป้อนน้ำและขออาบน้ำขัดตัวให้<br>ช้างพังกำไลอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะเชื่อว่าช้างคือสัตว์ที่ฉลาด<br>มีบุญคุณกับตัวเขา และมนุษย์มาก ซึ่งทุกครั้งที่ จา พนม ยีรัมย์<br>จะทำอะไรต้องยกมือไหว้เพื่อขอขมาช้างที่อาจล่วงเกินก่อนตลอดเวลา<p> นอก จากนั้น บรรดาทีมสัตวแพทย์<br>และเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ต่างได้ขอถ่ายรูปกับจา พนม<br>ยีรัมย์คู่กับช้างพังกำไลไว้เป็นที่ระลึกกันอย่างคึกคัก<p> จา พนม ยีรัมย์ เปิดเผยว่า ที่เดินทางมาครั้งนี้<br>เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจช้างพังกำไล และทีมสัตวแพทย์ ที่ทำการ<br>รักษาช้างพังกำไล ขอให้ช้างพังกำไล หายเร็วๆ<br>จะได้ไปร่วมแสดงภาพยนตร์ด้วยกัน นอกจากนั้น<br>ตนก็มีช้างเลี้ยงไว้ที่บ้านจึงรู้ความรู้สึกของช้าง ว่า<br>ทรมานและเจ็บปวดแค่ไหน จึงให้กำลังใจช้างพังกำไล ขอให้หายเจ็บป่วยในเร็วๆ<br>นี้ จะได้เดินทางกลับบ้าน และเราชาวไทยทุกคนก็ให้กำลังใจพังกำไล<p> สำหรับอาการบาดเจ็บของช้างพังกำไลนั้น คณะสัตวแพทย์ เปิดเผยว่า<br>ตรวจพบว่ากระดูกเท้าขวาที่หักและเข้าเฝือกไว้ได้เริ่มต่อติดกันแล้ว<br>จึงได้ถอดเฝือกออก และบาดแผลที่บริเวณใต้ท้องช่วงขาซ้ายหน้า<br>ยังพบอาการเนื้อตายและมีหนองเล็กน้อย ส่วนบาดแผลบริเวณกดทับด้านซ้าย<br>ตามลำตัว อาการเนื้อตายไม่มี<br>และเนื้อใหม่เกิดขึ้นมาหลังจากสัตวแพทย์ได้ผลิตเตียงไฮดรอลิกให้ช้างได้ยืน<br>เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น<p> ส่วน การรักษาต้องทำการล้างบาดแผลและให้ยาแก้อักเสบทุกวัน<br>ให้กินวิตามินซีและวิตามินบี บำรุงร่างกาย<br>และให้กินธาตุเหล็กรักษาอาการโลหิตจางด้วย ทั้งนี้<br>อาการโดยทั่วไปของช้างพังกำไลตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมดี กินน้ำ<br>และเล่นน้ำได้มากขึ้น ใช้งวงสูบน้ำขึ้นมาฉีดพ่นอาบให้ตัวเองได้แล้ว<br>ผลการรักษาเป็นที่พอใจของทีมสัตวแพทย์<p><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072636">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000072636</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-48059069264184840342009-06-26T16:30:00.001+07:002009-06-26T16:30:07.508+07:00"พณ."ระดมสมองชาวนา/เถ้าแก่โรงสีอีสานใต้-หวั่นเปิดตลาด"ATFA"ทำลายข้าวไทยสุรินทร์ - กรมการค้าต่างประเทศ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br>เดินสายเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นชาวนา ผู้ประกอบการค้าข้าว<br>โรงสีข้าวและผู้ประกอบการอุตฯ ที่ใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบ 10 จว.อีสานใต้<br>ระดมสมองเตรียมพร้อมรับมือไทยเปิดตลาดการค้าข้าวตามความผูกพันภายใต้ ATFA<br>ม.ค.ปีหน้า เผยวิตกปัญหาการสวมสิทธิ์-ลอบนำเข้าข้าวคุณภาพต่ำ-ติดเชื้อโรคและศัตรูพืช<br>ย้ำรัฐต้องใช้มาตรการคุมเข้มนำเข้าข้าวหวั่นทำลาย"หอมมะลิ"ชื่อก้องโลกและ<br>ข้าวไทย<p> วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่ห้องประชุมอาคาร 30<br>มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ กรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กระทรวงพาณิชย์ และ<br>หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เปิดเวทีสาธารณะรับฟังความคิดเห็น กรณี<br>การเปิดตลาดข้าวภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (ATFA) ครั้งที่ 4 โดย<br>มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ,ผู้ประกอบการค้าข้าว<br>โรงสีข้าว,โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบ จากพื้นที่ 10<br>จังหวัดในภาคอีสานตอนล่าง เข้าร่วมแสดงความเห็นกว่า 200 คน<p> นางดวงพร รอดพยาธิ์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเผยว่า<br>การเปิดรับความเห็นครั้งนี้ เนื่องจากว่ากลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน<br>ได้ตกลงให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ ATFA ( ASEAN Fee Trade<br>Area) ขึ้น ประเทศไทยในฐานะเป็นสมาชิก ATFA มีพันธกรณีที่ต้องลดภาษี<br>และยกเลิกมาตรการโควตาภาษี สินค้าข้าวและสินค้าเกษตรอื่นๆ<br>ซึ่งได้ดำเนินการลดภาษีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2536<br>และมีกำหนดจะต้องยกเลิกโควตานำเข้าและลดภาษีเหลือร้อยละ 0<br>ในตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 นี้<br>ซึ่งการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ผูกพันไว้ถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นการสร้างความ<br>เชื่อมั่นให้กับคู่เจรจาของไทยรวมถึงเป็นการสร้างความเชื่อถือของไทยใน<br>ภูมิภาคอาเซียนด้วย<p> ประเทศไทยในฐานะเป็นผู้ส่งออกข้าวมากเป็นอันดับ 1 ของโลก<br>ได้ประโยชน์จากการเปิดตลาดการค้าข้าวตามพันธกรณีและ<br>เกิดผลกระทบน้อยที่สุด กระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้<br>กรมการค้าต่างประเทศร่วมหารือกับหน่วยงานราชการและเอกชนที่เกี่ยวข้อง<br>ในการพิจารณาหามาตรการไว้รองรับ เพื่อบริหารจัดการข้าว<br>การนำเข้าข้าวและแนวทางปฏิบัติ ซึ่งมีเป้าหมายในการจัดเวทีสัมมนา คือ<br>การรักษามาตรฐานคุณภาพข้าวไทย คุ้มครองสุขภาพอนามัยของผู้บริโภคข้าวไทย<br>เพื่อหาแนวทางป้องกันการระบาดของโรคและศัตรูข้าว<br>ป้องการกันการนำเข้าข้าวแบบสวมสิทธิ์ในโครงการแทรกแซงของรัฐบาล<br>และป้องกันการนำเข้าข้าวที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม (GMOs)<p> ทั้งนี้เพื่อให้การบริหารงานข้าวมีความโปร่งใส<br>และให้การตอบสนองต่อภาคประชาสังคม ได้อย่างทั่วถึง<br>จึงมีการจัดเวทีเสวนาสาธารณะให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้ร่วมกันแสดงความเห็นและ<br>เสนอแนะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเปิดตลาดการค้าข้าวภายใต้เขตการค้าเสรี<br>อาเซียน(ATFA) ซึ่งข้อมูลที่ได้จากเวทีประชาคมในครั้งนี้<br>จะนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และ คณะรัฐมนตรี (ครม.)<br>เพื่อกำหนดแนวทางมาตรการเปิดตลาดการค้าข้าวตามพันธกรณี ATFA<br>รวมทั้งเพื่อออกเป็นกฎระเบียบ ข้อบังคับ ให้มีผลบังคับใช้ได้ทันในวันที่<br>1 ม.ค. 2553 นี้fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-48601454328666876732009-06-26T16:29:00.001+07:002009-06-26T16:29:34.204+07:00"แม่ทัพภาค 2"รุดถก ผบ.ทหารเขมร"ช่องจอม"ลดตึงเครียด/ไม่เปิดฉากปะทะสุรินทร์ - "พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์" แม่ทัพภาค 2 รุดหารือนอกรอบ กับ<br>ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชาและคณะ<br>เพื่อลดปัญหาความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กาสิโนคนสนิท "ฮุน เซน"<br>ตกลงไม่ให้มีการปะทะและยั่วยุทางกำลังทหาร<br>ขณะชายแดนด้านปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ทหาร 2<br>ประเทศตรึงกองกำลังติดอาวุธพร้อมปฏิบัติหน้าที่ เผยฝ่ายเขมรขนกำลังพล<br>ปืนใหญ่ ปืนต่อสู้อากาศยานเข้าเสริมเต็มอัตราศึก แถมซ้อมรบห่างไทยแค่ 10<br>กม.<p> วันนี้ (25 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.20 น.<br>พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2)<br>พร้อมด้วยเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 และ<br>ผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์<br>เดินทางเข้าไปยังโอร์เสม็ด รีสอร์ท สถานกาสิโนชายแดนฝั่งกัมพูชา<br>ตั้งอยู่ตรงข้ามด่านผ่านแดนถาวรช่องจอม-โอร์เสม็ด ต.ด่าน อ.กาบเชิง<br>จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นของ นายพัด สุพาภา หรือ "เสี่ยพัด" นักธุรกิจคนสนิท<br>นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา<p> ทั้งนี้ เพื่อเจรจาหารืออย่างไม่เป็นทางการ กับ พล.ท. เจีย มอญ<br>ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 ประเทศกัมพูชา<br>ซึ่งคุมกำลังทหารประจำพื้นที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย ด้าน<br>จ.บุรีรัมย์,สุรินทร์ และ จ.ศรีสะเกษ<br>และมีนายทหารที่คุมกำลังหน่วยรบของกัมพูชา<br>เข้าร่วมหารือกันอย่างไม่เป็นทางการในครั้งนี้ด้วย<p> โดยผู้นำทหารไทยและทหารกัมพูชา<br>ได้หารือกันนอกรอบที่จะไม่ให้มีการปะทะกัน<br>และยั่วยุทางกำลังทหารซึ่งอาจนำไปสู่การใช้อาวุธ โดยให้ทหารทั้ง 2<br>ฝ่ายลดการประจันหน้ากันและให้ใช้หลักการเจรจากันเป็นหลักในการปฏิบัติ<br>หน้าที่ ทั้งที่บริเวณเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ<br>และตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่สถานการณ์ตรึงเครียดอยู่ในขณะนี้<br>ซึ่งการหารือกันในครั้งนี้จะใช้เป็นแนวทางในการเจรจาหารือกันอย่างเป็นทาง<br>การของระดับผู้นำทหารทั้ง 2 ประเทศ ที่ จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา<br>ในระหว่างวันที่ 2-3 ก.ค. ที่จะถึงนี้<p> ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม ว่า การหารือระหว่าง แม่ทัพภาคที่ 2<br>กับ ผู้บัญชาการทหารภูมิภาค ที่ 4<br>ประเทศกัมพูชาและคณะในครั้งนี้ถูกกำชับจากนายทหารติดตามแม่ทัพภาคที่ 2<br>ให้ถือเป็นความลับห้ามให้ผู้สื่อข่าวทุกแขนงทราบ<p> จนกระทั่งเวลา 17.20 น. คณะของแม่ทัพภาคที่ 2<br>ได้เดินทางด้วยรถตู้ของกองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี)<br>มายังบริเวณศูนย์ฝึกอาชีพพื้นที่ชายแดนไทย อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์<br>ซึ่งเป็นสถานที่จอดเฮลิคอปเตอร์ของแม่ทัพภาคที่ 2 และ แม่ทัพภาคที่ 2<br>ใช้เวลาทักทายเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกอาชีพประมาณ 5 นาที<br>ก่อนขึ้นเฮลิคอปเตอร์เดินทางกลับกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี อ.เมือง<br>จ.นครราชสีมาทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด<br> ผู้สื่อข่าวรรายงานอีกว่า<br>สำหรับสถานการณ์ความตึงเตรียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา<p> ด้าน จ.สุรินทร์ นั้น ล่าสุดบริเวณพื้นที่พิพาทกรณีปราสาทตาควาย<br>และ ปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์<br>ทหารไทยและทหารกัมพูชาต่างได้มีการตรึงกองกำลังติดอาวุธ<br>เตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่รักษาดินแดนได้ทันทีหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบุกรุกและ<br>โจมตีก่อน<p> โดยเฉพาะทางฝ่ายกัมพูชาได้สร้างถนนและนำกำลังพล<br>พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งปืนใหญ่<br>ปืนต่อสู้อากาศยานเข้าเสริมพื้นที่เต็มอัตราศึก อีกทั้งเมื่อ 2<br>วันที่ผ่านมาทางฝ่ายกัมพูชาได้มีการซ้อมรบทางการทหารเต็มอัตราศึก<br>อยู่ในพื้นที่จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชาห่างจาก อ.พนมดงรัก<br>จ.สุรินทร์ ไปประมาณ 10 กิโลเมตร(กม.)fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-88836855886677509902009-06-25T17:03:00.001+07:002009-06-25T17:03:54.801+07:00กกล.สุรนารียอมรับ "เขาพระวิหาร" ตึงเครียด ! "กมธ." รุดลงสุรินทร์เกาะติดปัญหาชายแดนสุรินทร์-คณะกรรมาธิการชายแดน สภาผู้แทนฯ รุดดูพื้นที่ จ.สุรินทร์<br>ติดตามสถานการณ์ ปัญหาชายแดนไทย-เขมร<br>รวมทั้งความร่วมมือทางด้านด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว<br>ความมั่นคงและปัญหาแรงงานชาวต่างด้าว ด้าน "กกล.สุรนารี"<br>แจงสถานการณ์ชายแดนเขาพระวิหาร ยอมรับตึงเครียด<br>แต่พร้อมรักษาอธิปไตยไทยอย่างเต็มที่<p> วันนี้( 24 มิ.ย.) ที่ห้องประชุมศรีณรงค์ ศาลากลางจังหวดสุรินทร์<br>คณะกรรมาธิการชายแดน สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายอิทธิเดช แก้วหลวง<br>ประธานกรรมาธิการฯ พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ<br>ได้เข้าร่วมประชุมและสอบถามรับฟังปัญหาด้านต่างๆ<br>ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ จ.หวัดสุรินทร์<br>เพื่อนำข้อมูลเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา พัฒนาความสัมพันธ์<br>และส่งเสริมการค้าการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างทั้ง 2 ประเทศต่อไป<p> นายวิเชียร ชวลิต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์<br>ได้นำหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้ง ทหาร, ตำรวจ, แรงงาน,<br>สรรพสามิต, ศุลกากร,<br>ด่านตรวจคนเข้าเมืองกาบเชิง,เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า<br>,องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคง<br>ตามแนวชายแดน เข้าร่วมบรรยายสรุปสถานการณ์และปัญหาของส่วนราชการต่าง ๆ<br>พร้อมเสนอแนวทางการพัฒนาชายแดนทั้ง 2 ประเทศ<p> ทั้งนี้ จ.สุรินทร์<br>มีนโยบายพัฒนาเมืองชายแดนโดยเฉพาะด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชาช่องจอม-โอ<br>ร์เสม็ด ต.ด่าน อ.กาบเชิง ทั้งด้านการท่องเที่ยว การค้า<br>การลงทุนระหว่างไทยและกัมพูชา<br>ซึ่งขณะนี้รัฐบาลไทยได้สนับสนุนการเงินแก่รัฐบาลกัมพูชาในการสร้างเส้นทาง<br>เชื่อมระหว่างด่านผ่านแดนถาวรช่องจอม-โอร์เสม็ด ไปยัง บ้านกอลัน อ.สำโรง<br>จ.อุดรมีชัย กัมพูชา ระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร เป็นเงินราว 1,400 ล้านบาท<br>จะทำให้การค้าการลงทุนของ 2 ประเทศ มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น<br>และทำให้เศรษฐกิจของ จ.สุรินทร์ ดีขึ้นตามไปด้วย<p> ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม ว่า<br>สำหรับประเด็นปัญหาที่ทางกรรมาธิการชายแดน ได้ให้ความเป็นห่วง คือ<br>การข้ามชายแดนและการตรวจบัตรผ่านแดนเข้า-ออก<br>ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองควรมีมาตรการตรวจสอบการผ่านเข้า-ออกชายแดนไทยอย่าง<br>เข้มงวดเพื่อป้องกันการเดินทางเข้ามาในไทยแล้วไม่ยอมเดินทางกลับของชาว<br>กัมพูชา ,สปป.ลาว รวมทั้งชาวพม่า ซึ่งกลายเป็นแรงงานเถื่อนอยู่ในไทยกว่า<br>2 ล้านคนในขณะนี้<p> ส่วนปัญหาความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ<br>ที่มีการตรึงกำลังระหว่างทหารไทยและกัมพูชาอยู่นั้น<br>คณะกรรมาธิการชายแดนมีความเป็นห่วงเป็นอย่างมาก อยากให้รัฐบาลทั้ง 2<br>ประเทศสามารถเจรจากันและพัฒนาพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารให้เป็นแหล่งท่อง<br>เที่ยวร่วมกัน ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทั้ง 2<br>ประเทศเป็นอย่างมาก<p> พล.ท.มะ โพธิ์เงิน รองประธานกรรมาธิการชายแดน<br>ได้สอบถามผู้แทนจากกองกำลังสุรนารี (กกล.สุนารี)<br>ซึ่งเป็นหน่วยงานทหารที่ดูแลพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา<br>ในเรื่องการเก็บกู้วัตถุระเบิดตามแนวชายแดน<br>และการเตรียมกำลังทหารในการรักษาอธิปไตยของไทยโดยเฉพาะชายแดนด้านเขาพระ<br>วิหาร จ.ศรีสะเกษ<p> ทางผู้แทนกองกำลังสุรนารีได้ ชี้แจงว่า<br>กรณีการเก็บกู้วัตถุระเบิดตามแนวชายแดน<br>หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเพื่อมนุษยธรรมได้ดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิดใน<br>พื้นที่ จ.สุรินทร์ และ จ.บุรีรัมย์ ได้แล้วเป็นบางส่วน<br>พร้อมได้ส่งมอบพื้นที่ที่ปลอดภัยให้แก่หน่วยงานในท้องถิ่นเข้าไปใช้ประโยชน์<br>ขณะนี้กำลังปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชาทางด้าน<br>จ.ศรีสะเกษ ซึ่งก็ได้ทำลายวัตถุระเบิดที่เก็บกู้ได้ไปบางส่วนแล้วเช่นกัน<p> ส่วนการเตรียมพร้อมในการด้านกำลังทหารเพื่อรักษาอธิปไตยนั้น<br>ทหารมีการเตรียมพร้อมตลอดเวลาในพื้นที่ชายแดน<br>โดยเฉพาะกรณีความขัดแย้งด้านเขาพระวิหาร ซึ่งฝ่ายทหารมีการเตรียมกำลัง<br>อาวุธยุทโธปกรณ์ในอัตราที่พร้อมจะปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่<br>แต่ไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้เพราะถือว่าเป็นความลับ<br>ซึ่งทหารจะพูดเฉพาะในสิ่งที่เป็นความจริง<br>แต่จะพูดเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาเท่านั้น<p> อย่างไรก็ตามสถานการณ์ขณะนี้<br>ยืนยันได้ว่าคนที่มีอาวุธอยู่ในมือและประจันหน้ากันอยู่ย่อมมีความตึงเครียด<br>เป็นธรรมดา แต่ทหารต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา<p> ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ( 24 มิ.ย.)<br>คณะกรรมาธิการชายแดน สภาผู้แทนราษฎร<br>ได้เดินทางไปดูงานและรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินงาน<br>ของด่านตรวจคนเข้าเมืองกาบเชิง และ เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากร ช่องจอม<br>อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ที่บริเวณด่านผ่านแดนถาวรช่องจอม-โอร์เสม็ด ต.ด่าน<br>อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์<p><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000071576">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000071576</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-55494240885667235212009-06-23T16:24:00.001+07:002009-06-23T16:24:15.960+07:00หลงทางไกลโผล่เมืองช้าง "นกพิราบ" แข่งบินนานาชาติเชียงใหม่-กทม.สุรินทร์ - นกพิราบสื่อสาร ร่วมแข่งขันบินเร็วนานาชาติ<br>เชียงใหม่-กรุงเทพฯ ระยะทาง 560 กม.ปลายปีที่ผ่านมา<br>หลงทางไกลโผล่ที่วัดบ้านแจรนสัมพันธ์ อ.เมือง จ.สุรินทร์<br>เจ้าอาวาสวัดจับใส่กรงเลี้ยงไว้อย่างดี รอเจ้าของมารับกลับคืน<p> วันนี้ (22 มิ.ย.) พระครูสุรจิตรโสภณ<br>เจ้าอาวาสวัดบ้านแจรนสัมพันธ์ และ เจ้าคณะตำบลตาอ็อง อ.เมือง จ.สุรินทร์<br>เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 10.00<br>น.ขณะอยู่ห้องโถงในกุฏิวัด พบมีนกพิราบตัวสีเทา 1 ตัว อ้วนสมบูรณ์<br>มีท่าทางคุ้นเคยไม่กลัวผู้คน และ พบมีหมายเลขเป็นรหัส<br>เขียนบนกระดาษสีเขียวรัดไว้ที่ขาซ้ายระบุข้อความว่า "THAILAND CHA 2008<br>45509" หลวงพ่อจึงให้พระลูกวัดจับไปเลี้ยงไว้ในกรงเป็นอย่างดี<br>เพื่อรอประกาศหาเจ้าของนกมารับกลับไป<p> ล่าสุด ทางสมาคมพัฒนานกพิราบสื่อสารไทย ออกมาระบุว่า<br>นกพิราบตัวดังกล่าวเป็นนกพิราบที่เข้าร่วมแข่งขันมหกรรมนกพิราบ 2008<br>(Thailand Grand Pigeon Race Chiang Mai-Bangkok 560 Km.December 2008)<br>ซึ่งเป็นการแข่งขันนกพิราบบินเร็วนานาชาติ จาก จ.เชียงใหม่ สู่ กรุงเทพฯ<br>ระยะทางไกล 560 กิโลเมตร (กม.)<br>ชิงถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ<br>สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ<br>โดยทำการปล่อยนกพิราบสื่อสารที่เข้าร่วมแข่งขันจากทั้งในประเทศและต่าง<br>ประเทศ รวมทั้งสิ้น 1,666 ตัว ที่บริเวณเนินราชพฤกษ์<br>หน้าสวนเฉลิมพระเกียรติ (พืชสวนโลก) เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2551 เวลา 07.00<br>น.<p> นายบุญฤทธิ์ ตุลาพันธ์พงศ์<br>ผู้ประสานงานจัดการแข่งขันนกพิราบบินระยะไกลดังกล่าว เปิดเผยว่า<br>สำหรับนกพิราบพบที่วัดบ้านแจรน ต.ตาอ็อง อ.เมืองสุรินทร์ นี้<br>เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมาก ว่า ทำไมนกบินหลงไปทางมาไกลขนาดนั้น<br>แต่อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขันดังกล่าวจากจำนวนนกพิราบเข้าร่วมแข่งขัน<br>1,666 ตัว บินไปถึงที่หมายที่ กรุงเทพฯ เพียงประมาณ 800 ตัวเท่านั้น<p><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000070475">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000070475</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-81366274627976672922009-06-23T16:21:00.001+07:002009-06-23T16:21:01.868+07:00ทหารส่งมอบถนนชายแดนสุรินทร์ -บรรเทาปชช.เดือดร้อน/สร้างความมั่นคงโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 มิถุนายน 2552 19:29 น.<br>สุรินทร์- "พล.ท.วิเชียร" เสนาธิการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา<br>เป็นประธานเปิดใช้เส้นทางลาดยาง หมู่บ้านแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อ.สังขะ<br>สุรินทร์ บรรเทาความเดือดร้อนปชช.สัญจรและนำผลผลิตออกจำหน่าย<br>พร้อมนำกำลังพลเข้าพัฒนาอาชีพเพิ่มรายได้ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวบ้านสร้าง<br>ความมั่นคงชายแดน ย้ำให้ทุกคนยึดมั่นหลักความดี พอเพียง มีสติ<br>ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและทำความดีถวายในหลวง<p> ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านตาตุม ต.ตาตุม อ.สังขะ จ.สุรินทร์<br>พล.ท.วิเชียร ศิริสุนทร เสนาธิการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา<br>กองบัญชาการทหารสูงสุด<br>ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดใช้เส้นทางลาดยางจากบ้านดาร์ ถึง บ้านตาตุม<br>ต.ตาตุม อ.สังขะ จ.สุรินทร์ รวมระยะทาง 2.780 กิโลเมตร (กม.)<br>ที่หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้จัดสรรงบประมาณก่อสร้างขึ้น<p> ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนซึ่งเป็นหมู่บ้านติดแนวชายแดน<br>ไทย-กัมพูชา ทั้งในด้านการเดินทางสัญจรไปมาและนำผลผลิตทางการเกษตรออกไปจำหน่ายยังตลาด<br>อำเภอสังขะ ซึ่งหน่วยทหารพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 อำเภอปราสาท จ.สุรินทร์<br>ได้จัดกำลังพลและเครื่องจักรกล เข้าดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่เดือนม.ค.<br>2552 เป็นต้นมาจนแล้วเสร็จ<p> นอกจากการก่อสร้างถนนให้กับชาวบ้านแล้ว หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่<br>54 ยังได้เข้าไปส่งเสริมอาชีพให้กับชาวบ้านตามแนวชายแดนที่บ้านตาตุมจำนวน<br>10 โครงการ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น<br>รวมทั้งเป็นหมู่บ้านมั่นคง ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา<p> พล.ท.วิเชียร ศิริสุนทร เสนาธิการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา<br>กองบัญชาการกองทัพไทยกล่าว่า ได้<br>พูดคุยกับชาวบ้านเพื่อรับทราบปัญหาและจะได้มีการสนับสนุนงบประมาณสร้างความ<br>มั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา<br>และขอร้องให้ประชาชนได้หวงแหนทรัพย์สมบัติท้องถิ่น<br>เพื่อการใช้ประโยชน์ได้ยาวนาน ที่สำคัญขอให้ประชาชนบ้านตาตุม<br>หมู่บ้านชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ร่วมกันดูแลเฝ้าระวังสร้างความมั่นคง<br>และร่วมมือช่วยเหลือทางราชการเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ<p> "พร้อม กับขอให้ทุกคนยึดมั่นหลักของความดี ความพอเพียง มีสติ<br>ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ<br>ซึ่งพระองค์ท่านมีความหวงใยประชาชนของพระองค์อย่างสม่ำเสมอ<br>ขอให้ทุกคนทำความดีถวายแด่พระองค์ท่านสืบไป" พล.ท.วิเชียร กล่าว<p><br><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000070012">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000070012</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-32875889635803700222009-06-20T17:44:00.001+07:002009-06-20T17:44:31.731+07:00สุรินทร์รุกฟื้นทำนาวิถีดั้งเดิมตามรอยพ่อ "ฟ้า ฝน คน ควาย" - ลดค่าใช้จ่ายสร้างชนบทเข้มแข็งสุรินทร์- อำเภอสังขะ ร่วม อบต.ตาคง เมืองช้าง<br>รุกฟื้นฟูวิถีทำนาแบบดั้งเดิม<br>ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยพ่อของแผ่นดิน "ฟ้า ฝน คน ควาย"<br>รณรงค์ให้เกษตรกรใช้ควายไถนา มุ่งทำการเกษตรอินทรีย์ลดค่าใช้จ่าย<br>สร้างวิถีชีวิตชุมชนชนบทให้เข้มแข็ง<br>เผยเขยฝรั่งสนใจลงแข่งขันไล่ควายไถนาและดำนา<br>สร้างสีสันเรียกเสียงเชียร์สนุกสนานสนั่นท้องทุ่ง<p> ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านสนวน ต.ตาคง อ.สังขะ จ.สุรินทร์<br>ทางอำเภอสังขะ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตาคง<br>จัดงานรณรงค์ฟื้นฟูวิธีการทำนาแบบดั้งเดิมโดยใช้<br>กระบือไถ่นาเพื่อปักดำต้นกล้า ยึดแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง<br>ตามรอยพ่อของแผ่นดิน" ฟ้า ฝน คน ควาย" โดยมี นายวิเชียร ชวลิต<br>ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธาน ซึ่ง<br>ผู้ว่าฯสุรินทร์ได้นำนายอำเภอสังขะ<br>หัวหน้าส่วนราชการลงไถนาโดยแรงงานกระบือและปักดำต้นกล้าข้าวในนากับเกษตรกร<br>ที่มาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก<p> ทั้งนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br>เผยแพร่แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง<br>และเป็นการดำเนินตามนโยบายสุรินทร์เมืองเกษตรอินทรีย์เพื่อลดค่าใช้จ่าย<br>สร้างวิถีชีวิตชุมชนชนบทให้เข้มแข็ง<br>รวมถึงอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมพื้นบ้านชาวนาไทย<br>และอนุรักษ์พันธุ์กระบือไทยด้วย<p> นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการแสดงออก<br>ด้วยการแข่งขันไถนาและปักดำนาแบบวิถีดั้งเดิม<br>ส่วนกิจกรรมที่เป็นสีสันสร้างความสนุกสนานครึกครื้นให้ผู้มาร่วมงานมากที่<br>สุดเห็นจะเป็น การแข่งขันจับคันไถไล่ควายไถนาและดำนา<br>ของชาวต่างชาติเขยสุรินทร์ที่เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้จำนวน 5 คน<br>ท่ามกลางเสียงเชียร์จากภรรยาและแม่ยาย ดังสนั่นท้องทุ่ง<p> ผู้ชนะการแข่งขัน คือ มิสเตอร์แฟรงค์ เขยต่างชาติชาวเยอรมัน<br>ได้รับรางวัลเป็นเงินสด 1 บาท พร้อมใบประกาศนียบัตร จาก นายวิเชียร ชวลิต<br>ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมิสเตอร์แฟรงค์พูดภาษาไทยได้เป็นอย่างดี<br>ซื้อที่ดินไว้ทำนาข้าวหอมมะลิจำนวนหลายไร่ เขาจึงมีความสามารถในการไถนา<br>ดำนาได้เก่งไม่แพ้ชาวนาไทย และชื่นชอบการทำนาข้าวแบบวิถีดั้งเดิมของไทย<p><p><br><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000069287">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000069287</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-84126639269789915862009-06-12T23:39:00.001+07:002009-06-12T23:39:51.716+07:00ยก"พังกำไล"ขึ้นเตียงเหล็กไฮดรอลิกราบรื่น - ทีมแพทย์พระราชทานระบุอาการดีขึ้นมากสุรินทร์ - ทีมสัตวแพทย์พระราชทาน ระดมกำลังเจ้าหน้าที่สารวัตรปศุสัตว์<br>-ทหารและเอกชน ใช้เครนยกช้าง "พังกำไล"<br>ขึ้นเตียงเหล็กไฮดรอลิกขนาดใหญ่ราบรื่นสำเร็จตามเป้าหมาย<br>เผยออกแบบขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อให้รักษาได้สะดวกและระบบไหลเวียนเลือดช้างดี<br>ขึ้น ระบุผลการรักษาล่าสุดอาการช้างดีขึ้นมาก<br>เตรียมถอนทีมสัตวแพทย์พระราชทานพรุ่งนี้ (12 มิ.ย.)<br>แต่ยังคงติดตามและให้คำปรึกษาทีมสัตวแพทย์ประจำ<br>รพ.ช้างสุรินทร์อย่างใกล้ชิด<p> วันนี้ (11 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.30 น.<br>ทีมสัตวแพทย์พระราชทานสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพแห่งช้างชาติ<br>จังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สารวัตรปศุสัตว์ ทหาร จาก<br>กองกำลังสุรนารี ,จังหวัดทหารบกสุรินทร์, กรมสรรพวุธทหารบก<br>,กองพลทหารราบที่ 6 กองทัพภาคที่ 2 และ องค์กรภาคเอกชนจังหวัดสุรินทร์<br>ได้ร่วมใช้รถเครนและเครนของโรงพยาบาลช้าง<br>ภายในสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพแห่งช้างชาติ จ.สุรินทร์ ทำการยกช้าง<br>"พังกำไล" หรือ "พังแต๋น"<br>ขึ้นเตียงเหล็กไฮดรอริกขนาดใหญ่ซึ่งทีมสัตวแพทย์พระราชทานได้ทำการออกแบบ<br>เพื่อใช้สำหรับรักษาช้างพังกำไลหรือพังแต๋นเป็นการเฉพาะ<p> โดยเตียงเหล็กไฮดรอลิกดังกล่ว<br>ได้ออกแบบให้สามารถปรับระดับตั้งชันได้ถึง 90 องศา เหมือนกับช้างยืนได้<br>ทำให้ระบบไหลเวียนของโลหิตช้างดีขึ้นและปรับระดับลาดเอียงได้ตามต้องการ<br>ซึ่งจะทำให้การรักษาช้างสะดวกมากขึ้น<br>นอกจากนั้นยังทำการเจาะพื้นเตียงให้เป็นรูตรงกับบริเวณบาดแผลของช้างพังแต๋น<br>เพื่อให้สะดวกต่อการล้างทำความสะอาดบาดแผล<p> การปฎิบัติการยกช้างพังแต๋นขึ้นเตียงเหล็กในครั้งนี้<br>ได้มีการชักซ้อมทีมงาน และแบ่งภาระกิจกันอย่างชัดเจน<br>เพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้อย่างรวดเร็ว<br>และช้างไม่ได้รับความกระทบกระเทือนมากนัก ซึ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น<br>ช้างพังแต๋นไม่แสดงอาการดื้อขัดขืนแต่อย่างใด<br>และให้ความร่วมมือในการปฎิบัติงานเป็นอย่างดี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที<br>ก็สามารถยกช้างพังแต๋นขึ้นเตียงเหล็กไฮดรอลิกได้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้<br>ทำให้ทีมงานทั้งหมดโล่งใจไปตามๆ กัน และ<br>จากนี้ไปการรักษาช้างพังแต๋นก็จะสะดวกมากขึ้น<p> ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ส่วนการทำสเต็มเซลล์ ครั้งที่ 2<br>เพื่อรักษาช้างพังแต๋น<br>ซึ่งมีกำหนดการทำสเต็มเซลล์ในเช้าวันนี้ต้องระงับลง<br>เนื่องจากทีมสัตวแพทย์พระราชทานได้ตรวจเม็ดเลือดของช้างพังแต๋นพบว่าเม็ด<br>เลือดไม่สมบูรณ์มีลักษณะเลือดจางไม่เข้มข้น<br>ประกอบกับบาดแผลบริเวณเท้าซ้ายที่ช้างนอนกดทับในขณะนี้<br>บาดแผลยังลึกและมีเนื้อตายจึงระงับการทำสเต็มเซลล์ในครั้งที่ 2 ไว้ก่อน<p> ทางด้านทีมสัตวแพทย์พระราชทานรายงานผลการรักษาและอาการของช้างพัง<br>แต๋น ล่าสุดวันนี้ (10 มิ.ย.) ระบุ ว่า<br>อาการช้างพังกำไลหรือพังแต๋นมีอาการดีขึ้น มีการตอบสนองที่ดี<br>กินอาหารและดื่มน้ำได้มาก วันนี้ได้ให้กินสารพลาสมาเพิ่มอีก 4 ขวด<br>กินอาหารได้หลากหลาย สัตวแพทย์พบบาดแผลที่ขาหนีบ ใต้ท้อง ต้นขาหลังขวา<br>โหนกแก้มซ้าย คิ้วซ้ายใต้คาง ขาหนีบ ข้างซ้าย<br>ซึ่งเกิดจากการนอนกดทับเป็นเวลานาน<br>พบเนื้อตายบางส่วนที่บริเวณบาดแผลขาซ้ายหน้า ที่ปากมีบาดแผลเล็กน้อย<br>ช่องปากมีแผลเล็กน้อย บาดแผลเริ่มดีขึ้น<br>โดยทั่วไปอาการช้างพังกำไลดีขึ้นตามลำดับเป็นที่พอใจของคณะสัตวแพทย์พระราช<br>ทานที่ทำการรักษามาอย่างต่อเนื่อง<p> ทั้งนี้สัตวแพทย์ได้ให้การรักษาด้วยการล้างบาดแผล<br>นวดตามลำตัวบริเวณกดทับ เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ<br>ให้น้ำเกลือผสมวิตามินซีเข้มข้น น้ำเกลือผสมวิตามินบี ในการบำรุงร่างกาย<br>ฉีดยาปฏิชีวนะ บรรเทาอาการปวด<br>ให้วิตามินอีและธาตุซีลีเนียมเสริมให้กับช้าง<br>ทำการตรวจค่าเลือดในห้องปฏิบัติการเพื่อหาค่าเลือดในการใช้ยารักษาอาการบาด<br>เจ็บของช้าง ซึ่งการนำช้างขึ้นเตียงไฮดรอริกได้สำเร็จจะทำให้สะดวกในการทำความสะอาดบาด<br>แผลของช้าง บริเวณกดทับ และ จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น<p> อย่างไรก็ตาม<br>ทีมสัตวแพทย์พระราชทานทั้งหมดจะถอนกำลังเจ้าหน้าที่แพทย์ทั้งหมด<br>ในวันพรุ่งนี้ (12 มิ.ย.) เพื่อไปปฎิบัติงานในพื้นที่ จ.เพชรบุรี<br>โดยจะจัดส่งทีมแพทย์พระราชทานเดินทางมาติดตามความคืบหน้าของการรักษาช้างพัง<br>กำไล หรือพังแต๋นและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดแก่ทีมสัตวแพทย์ประจำอยู่ที่สถาบัน<br>วิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ ในการรักษาช้างพังแต๋นต่อไป<br>เพราะขณะนี้ช้างพังแต๋น มีอาการดีขึ้นมากแล้ว<p><br><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000066141">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000066141</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-59067819749073655312009-06-12T23:27:00.001+07:002009-06-12T23:27:26.992+07:00สุรินทร์ม็อบบุกศาลากลาง ต้าน "ออป." โค่นป่าปลูกยาง-จี้ยุบทิ้งหน่วยสวนป่าทั้งจังหวัดสุรินทร์- ชาวอำเภอรัตนบุรี และ อ.ท่าตูม เมืองช้าง กว่า 300 คน<br>บุกชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัด ยื่นข้อเรียกร้องผู้ว่าฯ ต้าน "ออป."<br>ตัดไม้สวนป่าทุกแห่งของจังหวัด เพื่อปลูกยางพารา-ยูคาฯ<br>ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เผยส่งผลกระทบระบบนิเวศ วิถีชีวิตชุมชน แฉ<br>จนท.ออป.ทุจริตแสวงผลประโยชน์สร้างความแตกแยกให้ ปชช.จี้ย้าย<br>หน.สวนป่าห้วยแก้ว ใน 24 ชม.และยุบยกเลิกหน่วยงานสวนป่า ออป.ใน<br>จ.สุรินทร์ทั้งหมด ด้านผู้ว่าฯรับปากตั้ง<br>กก.ตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน<p> ช่วงบ่ายวันนี้ (10 มิ.ย.) ประชาชนชาว อ.รัตนบุรี และ อ.ท่าตูม<br>จ.สุรินทร์ พร้อมทั้งองค์กรภาคประชาชน ประกอบด้วย<br>เครือข่ายอนุรักษ์พิทักษ์ป่าดงหินล้ม, อนุกรรมการ ป.ป.ช.ภาคประชาชน,<br>เครือข่ายสิทธิมนุษยชนภาคอีสาน, โครงการฟื้นป่า วังปลาลำมูล<br>และกลุ่มอนุรักษ์พืชผักท้องถิ่นและสมุนไพรพื้นบ้าน รวมกว่า 300 คน นำโดย<br>นายศรีรัตน์ กองทอง, นายทองขาว ทองดอนโสม, นายธนาวุฒิ ไวรวัจนกุล,<br>นายอิทธิ ขวัญอุดมพร, นายอธิกรณ์ อมรขันธนา ได้เดินทางมาชุมนุมประท้วง<br>ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์<p> ทั้งนี้ เพื่อคัดค้านโครงการรื้อพัฒนาสวนป่า ของ<br>องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ในทุกพื้นที่ของ จ.สุรินทร์<br>ทั้งป่าดงหินล้ม อ.รัตนบุรี, ป่าดงสายทอ อ.ท่าตูม และ ป่าดงภูดิน<br>อ.ท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ มีเนื้อที่กว่า 40,000 ไร่<br>พร้อมยื่นข้อเรียกร้องต่อ นายวิเชียร ชวลิต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์<p> โดยผู้ชุมนุมระบุว่า<br>พบพฤติกรรมการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ของเจ้าหน้าที่<br>ออป.โดยใช้ข้ออ้างการเปิดประมูลตัดไม้ยูคาลิปตัสในการลักลอบค้าไม้ธรรมชาติ<br>เผาทำลายป่าต้นน้ำลำธาร<br>ตัดต้นไม้ในพื้นป่าเพื่อปลูกต้นยูคาลิปตัส-ยางพารา<br>และยังมีการแจกจ่ายที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ<br>ดังกล่าวให้แก่ราษฎรที่เข้าร่วมดูแลสวนยางพารา<br>พร้อมข้อเสนอผลประโยชน์ระยะยาวจากการกรีดยาง-ขายน้ำยางให้แก่ประชาชน<br>ที่เข้าร่วมทำงานกับ ออป. ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวของ ออป.ถือว่า<br>เป็นการหลอกใช้ประชาชนจนนำไปสู่ความแตกแยกของประชาชนในพื้นที่อย่างกว้าง<br>ขวาง<p> ดังนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมจึงยื่นข้อร้องเรียนต่อ นายวิเชียร ชวลิต<br>ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 5 ข้อหลัก คือ 1.<br>ให้ยุติการตัดไม้ในพื้นที่ป่าดังกล่าวทุกกรณีทั้งในพื้นที่สวนป่าห้วยแก้ว<br>และสวนป่าอื่นๆ ที่ ออป.รับมอบจากกรมป่าไม้ ในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ทั้งหมด<p> 2.ให้ย้าย นายอัคนี จารัตน์ หัวหน้าสวนป่าห้วยแก้ว และ<br>ผู้ช่วยหัวหน้าสวนป่าห้วยแก้ว อ.รัตนบุรี ออกนอกพื้นที่ภายใน 24 ชั่วโมง<p> 3.ให้ยุบหรือยกเลิกหน่วยงานสวนป่าห้วยแก้ว และหน่วยงานสวนป่าอื่นๆ<br>ของ ออป.ภายใน จ.สุรินทร์ทั้งหมด ภายใน 15 วัน<br>มิเช่นนั้นจะมีมาตรการกดดันที่เข้มข้นขึ้น<p> 4.คัดค้านการปลูกยางพาราและยูคาลิปตัส<br>ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตของชุมชน<br>จึงขอให้ยุติการปลูกไม้เศรษฐกิจดังกล่าว โดยทันที<p> และ 5.ให้สวนป่าห้วยแก้ว<br>ยุติการบำรุงรักษาสวนยางพาราที่ปลูกไว้แล้วทุกแปลงโดยทันที<br>และห้ามแผ้วถางร่องยางพารานับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป<br>เพื่อรักษาพันธุ์ไม้ตามรรมชาติได้เติบโตขึ้นมาแทนที่เป็นป่าธรรมชาติเช่น<br>เดิมพร้อมทั้งให้<br>ออป.จ่ายค่าชดเชยต้นไม้ที่ตัดในพื้นที่ป่าเฉลิมพระเกียรติ บ้านโคกก่อง<br>ต.หนองบัวบาน อ.รัตนบุรี จากการคำนวน ความเสียหายของต้นไม้ จำนวน 38<br>ล้านบาท และให้ประชาชนในพื้นที่รอบป่าในพื้นที่ดังกล่าว<br>เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลพื้นป่า ในลักษณะป่าชุมชน<br>และคงพื้นที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติต่อไป<p> นายวิเชียร ชวลิต<br>ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ได้ลงมารับหนังสือด้วยตัวเอง<br>และรับปากว่าจะดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการ ระดับจังหวัด<br>เพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริง และดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม<br>โดยเร็ว จากนั้นผู้ชุมนุมได้สลายตัวกลับด้วยความสงบเรียบร้อย<p><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000065488">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000065488</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-70546455926038712832009-06-10T16:32:00.001+07:002009-06-10T16:32:47.168+07:00ก.ต่างประเทศเปิดแจงข้อตกลงไทย-เขมรที่สุรินทร์-เจอ ปชช.ถามไม่ทวงคืน "ปราสาทวิหาร"สุรินทร์- ก.ต่างประเทศ เปิดให้ข้อมูลและรับความเห็น<br>"ข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา<br>และการเจรจาสำรวจจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา" ที่ จ.สุรินทร์<br>เผยชาวเมืองช้างสนใจ และแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องประสาทพระวิหาร<br>เป็นจำนวนมาก พร้อมถามแทงใจดำ<br>ทำไมไม่ทวงคืนปราสาทพระวิหารกลับมาเป็นของไทย<p> วันนี้ (9 มิ.ย.) ที่ห้องศรีพิมาน โรงแรมสุรินทร์มาเจสติก อ.เมือง<br>จ.สุรินทร์ กระทรวงการต่างประเทศ<br>ได้เปิดการประชุมให้ข้อมูลและรับฟังความเห็นของประชาชน เกี่ยวกับ<br>"การเจรจาข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพพูชา<br>และการเจรจาด้านการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา"<br>โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป<br>เข้าร่วมรับฟังข้อมูลและเสนอความคิดเห็นในครั้งนี้ กว่า 150 คน<p> นายภาสกร ศิริยะพันธ์<br>หัวหน้าศูนย์สถานการณ์พื้นที่เขาพระวิหารและชายแดนไทย-กัมพูชา<br>กระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ข้อมูลการเจรจาข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา<br>และการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา<br>พร้อมทั้งนำข้อตกลงของคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา ประชุมกันเมื่อวันที่<br>28-29 เม.ย.2552 ที่จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา<br>มารายงานให้ประชาชนทราบ<br>ซึ่งเป็นความก้าวหน้าของความร่วมมือระหว่างกองทัพไทยและกองทัพแห่งชาติ<br>กัมพูชา ที่ทั้งสองฝ่ายได้ให้ความเห็นชอบร่วมกันในเรื่องต่างๆ 3 ด้าน<br>รวมทั้งหมด 17 ประเด็น<p> ประกอบด้วย 1.ด้านเขตแดน ทั้งไทยและกัมพูชา<br>มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก,การทำความเข้าใจในการอ้างสิทธิในพื้นที่<br>ทับซ้อนทางทะเล และ การผ่านแดน การสัญจรข้ามแดนของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ<br>ทั้งไทยและกัมพูชาจะให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวเพื่อความมั่นคงของทั้ง<br>2 ประเทศ และส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชา<p> 2.ด้านความมั่นคง และการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน<br>จะร่วมกันแก้ไขปัญหาแรงงาน ที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย,<br>การป้องกันปราบปรามยาเสพติดร่วมกันการป้องกัน ปราบปราม<br>ปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ ในพื้นที่ชายแดน ร่วมมือกันต่อต้านการก่อการร้าย<br>ร่วมมือกันเก็บกู้วัตถุระเบิดตามแนวชายแดน ส่งเสริมความปลอดภัยทางทะเล<br>ส่งเสริมหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยและทหารตำรวจของกัมพูชาในพื้นที่ชาย<br>แดน<p> 3.ด้านความร่วมมือในอื่นๆ เช่น ส่งเสริมการค้าชายแดน<br>ความร่วมมือด้านการเกษตร ด้านสาธารณสุข ด้านการท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อม<br>การพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา<br>ศาสนาและวัฒนธรรมความร่วมมือด้านการบรรเทาสาธารณภัย<p> ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า<br>การประชุมรับฟังข้อมูลและร่วมเสนอความคิดเห็นวันนี้ ประชาชนชาวสุรินทร์<br>ให้ความสนใจและแสดงความเห็นในเรื่องการแก้ไขปัญหาปราสาทพระวิหารกันมาก<br>ซึ่งประชาชนชาวสุรินทร์ได้สะท้อนสภาพปัญหาตั้งแต่ช่วงเสียปราสาทพระวิหารจาก<br>การตัดสินของศาลโลกในปี 2505 และ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี<br>ของไทยในสมัยนั้นได้รณรงค์ให้ประชาชนชาวไทยทวงคืนปราสาทพระวิหารกลับคืนมา<br>เป็นของไทย จึงถามกระทรวงต่างประเทศว่าแล้ววันนี้ทำไมเราไม่ทวงคืนประสาทพระวิหาร<p> ทางด้าน นายภาสกร กล่าวยอมรับว่าเรื่อง ทั้งหมดเป็นเพราะเราแพ้คดี<br>ในศาลโลก ซึ่งเรียกว่ากฎหมายปิดปาก เป็นธรรมนูญศาลโลกที่ระบุไว้ในข้อ 60<br>และข้อ 61 โดยข้อ 60 ระบุว่า<br>คำพิพากษาถือเป็นที่สุดไม่สามารถอุทธรณ์ต่อไปได้<br>ในกรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตคำพิพากษา<br>ศาลจะเป็นผู้ตีความโดยคำร้องของคู่กรณี และ ข้อ 61 ระบุว่า<br>คำขอของคู่กรณีให้ศาลทบทวนคำพิพากษาสามารถทำได้<br>เฉพาะเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญในการตัดสินคดี<br>ซึ่งในขณะที่ตัดสินคดีไม่ปรากฏต่อศาลfgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-58001907338939304762009-06-10T16:06:00.001+07:002009-06-10T16:06:21.876+07:00ชาวสุรินทร์ลุกฮือ จี้ยุบทิ้ง "ออป." รัตนบุรี-หยุดตัดไม้ "สวนป่าห้วยแก้ว"สุรินทร์- ชาวบ้าน อ.รัตนบุรี เมืองช้างสุดทน ลุกฮือเรียกร้อง "ออป."<br>หยุดตัดไม้ป่าธรรมชาติและไม้หวงห้าม "สวนป่าห้วยแก้ว" เพื่อปลูกยางพารา<br>พร้อมจี้ย้าย จนท.ตัวแสบและยุบทิ้ง "ออป.รัตนบุรี" ให้กรมป่าไม้มาดูแลแทน<br>ด้านผู้จัดการสำนักอนุรักษ์ฯ<br>รับปากยุติตัดไม้ป่าทุกชนิดและไม่ขยายพื้นที่ทำลายไม้ธรรมชาติเพื่อปลูก<br>ยางพาราอีก<p> ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดสุรินทร์ ว่า ที่สวนป่าห้วยแก้ว<br>ต.รัตนบุรี อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ได้มีกลุ่มชาวบ้าน อ.รัตนบุรี ประมาณ<br>200 คน นำโดย นายยิ่ง ทาหาญ ชาวบ้าน ม.6 บ้านผือน้อย ต.ผือ, นายเปลี่ยน<br>แสงทอง ชาวบ้านขาม, นางวาสนา จุลเสริม ตัวแทนชาวบ้านไผ่ ต.ไผ่<br>ได้มารวมตัวกันชุมนุม<br>พร้อมยื่นข้อเรียกร้องต่อคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการตัดไม้ในบริเวณสวนป่าห้วย<br>แก้ว ของ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.)<p> โดยกลุ่มชาวบ้านผู้ชุมนุมได้ยื่นข้อเรียกร้อง 5 ข้อหลัก<br>ประกอบด้วย 1.ขอให้ ออป.หยุดพฤติการณ์การตัดไม้ป่าธรรมชาติ<br>และไม้หวงห้ามที่มีอยู่เดิม<br>2.การตัดไม้ทำลายป่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่<br>ชุมชนต้องการให้หยุดตัดไม้ทุกชนิดทันที ด้วยการขอให้ย้าย เจ้าหน้าที่<br>ออป.ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวออกจากพื้นที่โดยด่วน<br>3.ชุมชนไม่ต้องการให้ปลูกยางพารา<br>เพราะส่งกระทบต่อระบบนิเวศตามธรรมชาติและวิถีชีวิตของชุมชน<p> 4.ขอให้ยุบหน่วยงาน<br>ออป.ให้กรมป่าไม้เข้ามาดูแลพื้นที่ป่าแทนเหมือนเดิม และ<br>5.ขอให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการป่ากับกรมป่าไม้<br>และร่วมรับฟังผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการแก้ไขปัญหา<br>ซึ่งประกอบไปด้วย นายพงศ์ อุตราภรณ์<br>หัวหน้าศูนย์ประสานงานป่าไม้สุรินทร์, นายวรชัย โอศิริพัฒน์<br>นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ, นายชาญวิทย์ ชุมสุข<br>เจ้าหน้าที่ปกครองอำเภอรัตนบุรี และ นายชาญณรงค์ อินทนนท์<br>ผู้จัดการสำนักอนุรักษ์และพัฒนาสวนป่า นครราชสีมา<p> จากนั้น นายชาญณรงค์ อินทนนท์<br>ผู้จัดการสำนักอนุรักษ์และพัฒนาสวนป่า นครราชสีมา<br>ได้รับปากกับกลุ่มผู้ชุมนุม ว่า ทางสวนป่าห้วยแก้ว<br>จะยุติการตัดไม้ป่าทุกชนิดและจะไม่ขยายพื้นที่ทำลายป่าไม้ธรรมชาติเพื่อปลูก<br>ยางพาราอีก ส่วนกรณีข้อเรียกร้องให้ยุบหน่วยงาน ออป.ในพื้นที่รัตนบุรี<br>นั้นจะได้นำเสนอต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงต่อไป<p> ทางด้าน นายพงศ์ อุตราภรณ์ หัวหน้าศูนย์ประสานงานป่าไม้สุรินทร์<br>กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องข้อเรียกร้องของชาวบ้านทั้งหมดรายงานต่อผู้บังคับบัญชาให้ทราบ<br>เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป<br>และจะให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านที่ถือว่าเป็นเจ้าของแผ่นดินให้มากที่สุด<p> ต่อมาเมื่อได้รับคำตอบเป็นที่พอใจแล้ว กลุ่มชาวบ้านประมาณ 200 คน<br>ที่มาชุมนุมต่างได้ทยอยแยกย้ายกันกลับบ้านอย่างความสงบเรียบร้อยfgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-17324274793756357462009-06-10T15:53:00.001+07:002009-06-10T15:53:05.011+07:00แพทย์เผยอาการช้าง "พังกำไล" ดีขึ้น-ใช้เครนยกตัวล้างแผลทายา/เปลี่ยนอิริยาบถสุรินทร์ - แพทย์เผยอาการช้าง "พังกำไล" ดีขึ้นกว่าทุกวันที่ผ่านมา<br>แต่ต้องระวังอาการอักเสบภายใน เผย<br>เร่งก่อสร้างสระน้ำขนาดใหญ่เท่ากับตัวช้างเพื่อรักษาแบบวารีบำบัด<br>ส่วนผลการรักษาด้วยวิธีสเต็มเซลล์ต้องรอผลตรวจที่ชัดเจนใน 2 สัปดาห์ เผย<br>ใช้เครน 2 ตัวยก "พังกำไล" ล้างบาดแผลทายาและเอาเนื้อที่ตายออก<br>พร้อมให้ช้างได้ผ่อนคลายเปลี่ยนอิริยาบถ<p> วันนี้ (4 มิ.ย.) ส.พญ.ภัทร เชื้อพลายเวช<br>ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ จังหวัดสุรินทร์ หรือ<br>โรงพยาบาลช้าง จ.สุรินทร์ เปิดเผยความคืบหน้าในการรักษาช้างพังกำไล<br>ของคณะสัตวแพทย์พระราชทาน สถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ ว่า<br>อาการของช้างพังกำไล ในวันนี้ดีขึ้น กว่าช่วงที่ผ่านมา<br>ช้างมีการตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างมากขึ้น ผลการตรวจเลือดดีขึ้น<br>ช้างกินอาหาร กินน้ำได้ แต่ต้องระวังอาการอักเสบภายใน<br>สัตวแพทย์ได้ตัดเอาเนื้อช้างบริเวณบาดแผลไปตรวจหาเชื้อโรคยังห้องปฏิบัติการ<br>เพื่อให้สามารถให้ยาที่ถูกต้องในการรักษา<br>พร้อมทั้งเร่งก่อสร้างสระน้ำที่มีขนาดเท่ากับตัวช้าง<br>เพื่อใช้วิธีรักษาแบบวารีบำบัด ซึ่งจะต้องเร่งลงมือในการก่อสร้าง<p> สำหรับผลของการรักษาด้วยวิธีสเต็มเซลล์<br>จะต้องรอผลการตรวจเลือดว่ามีค่าของเลือดที่ดีขึ้นกว่าเดิมแค่ไหน<br>ซึ่งต้องใช้เวลา 48 ชั่วโมง หรือหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์<br>โดยที่ผ่านมาการรักษาม้าด้วยวิธีสเต็มเซลล์ จะปรากฏผล 2 อย่าง คือ<br>ม้ามีอาการดีสดชื่นร่าเริงอย่างทันท่วงที<br>หรืออาจดีขึ้นแต่ม้าอาจนอนพักผ่อน หรือมีอาการซึม<br>ซึ่งทางสัตวแพทย์ต้องรอตรวจผลที่ชัดเจนภาย ใน 2 สัปดาห์ และนอกจากนี้<br>ยังมีการเลี้ยงสเต็มเซลล์ ที่ห้องแล็บ แต่ไม่ยืนยันว่าจะทำได้แค่ไหน<br>เพราะยังไม่มีอาหารใดๆ ที่จะใช้เลี้ยงสเต็มเซลได้<br>ก็ฝากความหวังไว้กับอาจารย์ที่ห้องแล็บ ในการเพาะสเต็มเซลล์ช้างพังกำไล<br>ขึ้นมาอีก<p> ส.พญ.ภัทร กล่าวต่อว่า นอก จากนั้น<br>ทางคณะสัตวแพทย์ยังได้ใช้เครนไฮดรอลิก ของทหารช่างกองพลทหารราบที่ 6<br>กองทัพภาคที่ 2 กับเครนของโรงพยาบาลช้างสุรินทร์ ยกช้างพังกำไลให้ยืนขึ้น<br>เพื่อทำการล้างบาดแผลที่บริวเณขาหน้าช้ายเอาเศษเนื้อที่ตายออก<br>และไม่ให้ช้างนอนกดทับเนื้อส่วนขาซ้ายมากเกินไป พร้อมล้างบาดแผลส่วนอื่นๆ<br>ตามตัวช้างและทายาฆ่าเชื้อ<p> รวมทั้งเป็นการให้ช้างได้ผ่อนคลายเปลี่ยนอิริยาบถ ในการนอน<br>และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ซึ่งช้างพังกำไล<br>มีท่าทางผ่อนคลายและใช้เท้าหลัง 2 ข้างรับน้ำหนักตัวได้ดี<br>ช้างกินอาหารที่เป็นกล้วย และแตงโมได้ดี ดื่มน้ำได้<br>ส่วนอาหารที่เป็นต้นอ้อยยังไม่กิน เพราะต้นอ้อยแข็งเกินไป<br>จะเลือกกินอาหารอ่อนๆ<br>ซึ่งอาการโดยรวมเป็นที่พอใจของคณะสัตวแพทย์พระราชทานที่ทำการรักษาfgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-38766001371697329072009-06-05T01:54:00.001+07:002009-06-05T01:54:09.277+07:00ตรวจคุมเข้มส่งออกน้ำมัน "ช่องจอม" - สกัดพ่อค้าโกงคืนภาษี/ลอบขายเขมรสุรินทร์- สรรพสามิตร่วมด่านศุลกากร<br>ตรวจคุมเข้มรถบรรทุกน้ำมันส่งออกกัมพูชา ด่านช่องจอม สุรินทร์<br>ป้องกันพ่อค้าโกงขอคืนภาษีเกินจริงและลักลอบจำหน่ายประเทศเพื่อนบ้าน<br>เผยมูลค่าส่งออกเขมร ด้านด่านช่องจอม เดือน เม.ย.43 ล้าน<br>สินค้าน้ำมันเชื้อเพลิงครองอันดับหนึ่ง<p> วันนี้ (4 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมโภชนรัตน์ แก้วน่วม<br>สรรพสามิตพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วย นายไพรัช เจริญชาศรี<br>นายด่านศุลกากร ช่องจอม, พ.ต.อ.ธีระเดช พจนานนท์<br>รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (รอง ผบก.ภ.จว.) สุรินทร์<br>ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบรถบรรทุกน้ำ ดีเชล และ เบนซิน<br>ที่ขออนุญาตนำสินค้าเชื้อเพลิงส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศกัมพูชา<br>ที่บริเวณด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องจอม-โอร์เสม็ด ต.ด่าน อ.กาบเชิง<br>จ.สุรินทร์ ซึ่งต้องเข้ายื่นหนังสือขอนำสินค้าส่งออกและชำระภาษี<br>ที่สำนักงานศุลกากร กาบเชิง จังหวัดสุรินทร์<p> ทั้งนี้ เพื่อตรวจสอบการชำระภาษีของผู้ส่งออกแต่ละรายและปริมาณน้ำมันที่ยื่นขอส่ง<br>ออกให้ตรงกับความเป็นจริงอย่างเข้มงวด<br>เพื่อควมคุบการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและการขอภาษีคืนจากรัฐของผู้ส่งออกไม่<br>ให้มีการฉ้อโกงหรือขอคืนภาษีเกินความเป็นจริง<p> นอกจากนั้น คณะเจ้าหน้าที่ยังเข้าตรวจสอบปั๊มน้ำมันขนาดเล็ก<br>หรือปั๊มหลอดในหมู่บ้านต่างๆ ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา<br>เขตรับผิดชอบของสรรพสามิตพื้นที่สุรินทร์<br>ไม่ให้ลักลอบจำหน่ายน้ำมันเพลิงทุกประเภทแก่ประชาชนในเขตประเทศเพื่อนบ้าน<br>ซึ่งยังเป็นการเอาเปรียบประเทศไทย<br>ที่รัฐบาลต้องนำเงินกองทุนน้ำมันเข้าแบกภาระชดเชยราคาน้ำมันเพื่อบรรเทาความ<br>เดือดร้อนของประชาชนชาวไทย<p> ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า<br>การค้าชายแดนผ่านด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องจอม อ.กาบเชิง<br>จ.สุรินทร์ เดือน เม.ย.2552 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม 45.68 ล้านบาท<br>แยกเป็นการส่งออก 42.91 ล้านบาท สินค้าส่งออกที่สำคัญ คือ<br>น้ำมันเชื้อเพลิง, วิสกี้ และ เบียร์ ส่วนมูลค่าการนำเข้ารวม 2.78<br>ล้านบาท สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ รถแทรกเตอร์ขุด-ตักเก่าใช้แล้ว<br>ไทยได้ดุลการค้ากัมพูชา เดือน เม.ย.รวม 40.13 ล้านบาท<p><br><a href="http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000062912">http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000062912</a>fgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-1417707670330227212009-05-28T01:24:00.001+07:002009-05-28T01:24:10.211+07:00เทศบาลสุรินทร์มอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุกว่า 2 พันคนสุรินทร์- ผู้สูงอายุ 2,197 คน เขตเทศบาลเมืองเดินทางมารับเบี้ยยังชีพ<br>กันคึกคัก คุณตา วัย 83 ปี ดีใจเดินทางมารับเบี้ยยังชีพ 500 บาท<br>ด้วยตัวเอง บอกจะนำไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์มากที่สุด<p> วันนี้ (27 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า<br>ที่สำนักงานเทศบาลเมืองสุรินทร์ นายสมบูรณ์ เรืองกาญจนเศรษฐ์<br>นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสุรินทร์ ได้เป็นประธานมอบเบี้ยยังชีพ<br>แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งบรรยากาศ เป็นไปอย่างคึกคัก<br>ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เดินทางมารับเบี้ยยังชีพด้วยตัวเอง<br>คนที่แข็งแรงก็เดินทางมาคนเดียว หลายคนให้ลูกหลาน ญาติพี่น้อง<br>หรือเพื่อนบ้านพามา ขณะที่คุณตายม เพชรศรีสม วัย 83 ปี บ้านอยู่ ซอย<br>สุรินทร์ภักดี เทศบาลเมืองสุรินทร์ หลานได้พามารับเบี้ยยังชีพ<br>และรับเงินไปด้วยความดีใจ<br>บอกว่าจะเอาเงินที่ได้รับวันนี้ไปใช้จ่ายหลายอย่างให้เกิดประโยชน์มากที่สุด<p> นายสมบูรณ์ เรืองกาญจนเศรษฐ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสุรินทร์<br>เปิดเผยว่า เทศบาลเมืองสุรินทร์<br>ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาความ<br>เดือดร้อนของผู้สูงอายุ ที่มีรายได้ไม่เพียงพอกับการครองชีพ<br>ไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ จึงได้พิจารณาจัดสรรเบี้ยยังชีพ<br>ช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป<br>โดยได้รับลงทะเบียนผู้สูงอายุในหว่าง26 ก.พ. - 15 มี.ค. ที่ผ่านมา<br>มีผู้สูงอายุมาขอขึ้นทะเบียนเพื่อรับเบี้ยยังชีพ ทั้งหมดจำนวน 2,210 คน<br>และผ่านการพิจารณาคณะกรรมการคัดเลือก ตามหลักเกณฑ์ของรัฐบาล จำนวน 2,197<br>คน<p> "วันนี้เทศบาลเมืองสุรินทร์ได้จ่ายเบี้ยยังชีพ<br>ให้แก่ผู้สูงอายุคนละ 500 บาท<br>เป็นวันเป็นที่สองซึ่งจะดำเนินการมอบให้แล้วเสร็จทั้ง 2,197 คน<br>โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้เดินทางมารับเบี้ยยังชีพด้วยตัวเอง<br>รวมทั้งการโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่ผู้สูงอายุที่ได้แจ้งหมายเลขบัญชีไว้กับ<br>บคณะกรรมการพิจารณาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว" นายสมบูรณ์ กล่าวfgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6230189932284019768.post-65307194356677517472009-05-28T01:20:00.001+07:002009-05-28T01:20:55.026+07:00สุรินทร์เร่งมอบเงินช่วยเกษตรกรประสบภัยแล้ง-นาข้าวสูญ 1.3 หมื่นไร่สุรินทร์ - เร่งมอบเงินช่วยเหลือเกษตรกรเขต อ.เมืองสุรินทร์<br>ที่ประสบภัยแล้งในฤดูกาลผลิต ปี 2551/52 นาข้าวเสียหาย 1.37 หมื่นไร่<br>เดือดร้อน 2,333 ราย โดย ธ.ก.ส.เบิกเงินสดจ่ายให้เกษตรกร<br>ที่ผ่านเกณฑ์พิจารณาให้การช่วยเหลือ<p> วันนี้ (26 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ องค์การบริหารส่วนตำบล<br>(อบต.) ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ นายสุพล ลีมางกูล<br>นายอำเภอเมืองสุรินทร์ ได้เป็นประธานในการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่เกษตรกร<br>ที่ประสบกับภัยพิบัติภัยแล้งในฤดูการทำนา ปี 2551/2552<br>ซึ่งอำเภอเมืองสุรินทร์มีเกษตรกรประสบกับภัยแล้ง จำนวน 7 ตำบล ประกอบด้วย<br>ต.ท่าสว่าง, แกใหญ่, เฉนียง, เทนมีย์, สลักได, ตระแสง และ ต.สวาย<br>รวมทั้งสิ้นจำนวน 52 หมู่บ้าน มีพื้นที่นาปลูกข้าวได้รับความเสียหาย<br>13,755 ไร่ เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน จำนวน 2,333 ราย<p> ทั้งนี้ อำเภอเมืองสุรินทร์ได้ขอรับการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง<br>ผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2546<br>ซึ่งช่วยเหลือเกษตรกรในอัตราไร่ละ 606 บาท รวมจำนวน 8,335,530 บาท<br>โดยทางกระทรวงการคลังได้โอนเงินเข้าผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์<br>การเกษตร สาขา สุรินทร์ (ธ.ก.ส.) และ ธ.ก.ส.สุรินทร์<br>ได้ทำการเบิกเงินสดที่กระทรวงการคลังโอนเข้าบัญชีเกษตรกรทั้งหมดจำนวน<br>2,333 ราย ที่ประสบปัญหาภัยพิบัติภายแล้ง ตามจำนวนที่คณะกรรมการพิจารณา<br>มามอบให้แก่เกษตรกรที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้<p> นายสุพล ลีมางกูล นายอำเภอเมืองสุรินทร์ กล่าวว่า<br>เงินที่รัฐบาลจ่ายเป็นค่าชดเชยความเสียหายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับ<br>เกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง อย่างไรก็ตาม อยากให้เกษตรกรได้มีการศึกษา<br>ปรับเปลี่ยนวิธีการทำนาให้เหมาะสม และสอบถามนักวิชาการเกษตร<br>ในช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำนา<br>เพราะบางครั้งเกษตรกรพอมีฝนเริ่มตกลงมาก็รีบไถ่นาหว่านข้าว ตั้งแต่เดือน<br>เม.ย.-มิ.ย.หรือ<br>ก.ค.พอฝนทิ้งช่วงต้นกล้าข้าวที่กำลังเจริญเติบโตก็แห้งตาย<p> "เกษตรกรจึงควรปรึกษานักวิชาการเกษตรว่าเวลาเหมาะสม<br>ในการปลูกข้าวควรอยู่ในช่วงใด<br>เพราะจะได้ขยายช่วงเวลาการเติบโตของการต้นกล้าให้พอเหมาะกับฝนที่ตกลงมา<br>เกษตรกรต้องปรับเปลี่ยนช่วงเวลาการปลูกข้าวด้วยวิชาการที่เหมาะสม<br>จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรเอง" นายสุพล กล่าวfgscihttp://www.blogger.com/profile/01714485564098614642noreply@blogger.com0